เงินซื้อความสุขได้จริงหรือ? มุมมองจากจิตวิทยาการเงิน

 

 


เงินซื้อความสุขได้จริงหรือ? มุมมองจากจิตวิทยาการเงิน

"เงินซื้อความสุขไม่ได้หรอก" เรามักได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ ครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกปัจจุบัน เงินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิต การมีเงินที่เพียงพอสามารถช่วยบรรเทาความกังวลหลายอย่าง และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับเราได้มากมาย

แล้วตกลงว่า "เงินซื้อความสุขได้จริงหรือ?" และถ้าได้... มันซื้อได้แค่ไหน? และเราจะใช้เงินอย่างไรให้เกิดความสุขสูงสุดตามหลักจิตวิทยาการเงิน? วันนี้เราจะมาเจาะลึกคำถามนี้อย่างตรงไปตรงมาครับ เพื่อให้ คุณผู้ชมทุกคนเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเงินและความสุขได้อย่างลึกซึ้งขึ้น

1. เงินซื้อ "ความสุข" ได้ในระดับหนึ่ง (และในบางรูปแบบ)

นักวิจัยด้านจิตวิทยาเชิงบวกและนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเงินและความสุขมานานแล้ว และพบข้อสรุปที่น่าสนใจดังนี้ครับ

1.1 เงินซื้อ "ความสุขจากการหลีกเลี่ยงความทุกข์" ได้ (Well-being/Life Satisfaction):

·        ความต้องการพื้นฐาน: ในระดับพื้นฐาน เงินช่วยตอบสนองความต้องการที่จำเป็นต่อการอยู่รอด เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า การเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา เมื่อความต้องการเหล่านี้ได้รับการตอบสนอง ความเครียดและความกังวลในชีวิตก็ลดลง ทำให้ชีวิตมีความสุขและพึงพอใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

·        ความมั่นคง: การมีเงินสำรองฉุกเฉิน หรือการมีเงินออมที่เพียงพอ ทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันจะรับมืออย่างไร ความรู้สึกปลอดภัยนี้เป็นรากฐานสำคัญของความสุข

1.2 เงินซื้อ "ความสุขจากประสบการณ์" ได้ (Experiential Happiness):

·        อย่างที่เราคุยกันในบทความก่อนหน้านี้ การใช้เงินเพื่อซื้อประสบการณ์ เช่น การเดินทางท่องเที่ยว, การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ, การดูคอนเสิร์ต, การทำกิจกรรมกับคนที่รัก มักจะสร้างความสุขที่ยั่งยืนกว่าการซื้อสิ่งของ

·        ประสบการณ์เหล่านี้สร้างความทรงจำที่ดี, เสริมสร้างความสัมพันธ์, และเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเรา ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความสุขที่ลึกซึ้ง

1.3 เงินซื้อ "เวลา" ได้ (Time Affluence):

·        การใช้เงินเพื่อซื้อเวลา เช่น จ้างคนมาทำงานบ้าน, ใช้บริการขนส่งสาธารณะที่รวดเร็วกว่า, หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดเวลา สามารถช่วยลดความเครียดและความเร่งรีบในชีวิต ทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้นเพื่อทำสิ่งที่ชอบ หรือพักผ่อน ซึ่งนำไปสู่ความสุข

1.4 เงินซื้อ "การให้" ได้ (Prosocial Spending):

·        งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การใช้เงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือการบริจาคเพื่อการกุศล สามารถเพิ่มระดับความสุขให้กับผู้ให้ได้ การแบ่งปันสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่น และทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า

2. จุดอิ่มตัวของเงินกับความสุข (The Diminishing Returns of Money on Happiness)

แม้เงินจะซื้อความสุขได้ในระดับหนึ่ง แต่นักวิจัยพบว่า มีจุดอิ่มตัว ครับ นั่นหมายความว่า เมื่อรายได้หรือความมั่งคั่งถึงระดับหนึ่งแล้ว การมีเงินเพิ่มขึ้นอีก อาจไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เท่ากัน หรืออาจไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นเลย

·        งานวิจัยของ Princeton University (2010): พบว่าสำหรับคนในสหรัฐอเมริกา รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มระดับความสุขและความพึงพอใจในชีวิตไปจนถึงระดับประมาณ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี หรือ 2 แสนบาทต่อเดือน) หลังจากนั้น การมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกก็ไม่ได้ทำให้ความสุขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

·        สาเหตุ: เพราะเมื่อถึงจุดนั้น ความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่แล้ว การมีเงินเพิ่มขึ้นอีกจึงไม่สามารถแก้ปัญหาหลักๆ ในชีวิตได้ และอาจนำไปสู่การเปรียบเทียบกับผู้อื่น, การเพิ่มขึ้นของความคาดหวัง, หรือความกังวลในการรักษาสถานะทางสังคม

ดังนั้น การวิ่งไล่ตามเงินไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงจุดอิ่มตัว อาจทำให้เราเหนื่อยล้า และไม่พบความสุขอย่างแท้จริง

3. เงินซื้อความสุข "ไม่ได้" เมื่อ...

·        ซื้อเพื่ออวดอ้างสถานะ: การซื้อสิ่งของแพงๆ เพียงเพื่อแสดงฐานะ หรือเพื่อแข่งขันกับคนอื่น มักจะไม่นำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืน เพราะความสุขจะขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด

·        สร้างหนี้สินเกินตัว: การใช้เงินซื้อของที่เกินความจำเป็นด้วยการเป็นหนี้สิน จะนำมาซึ่งความเครียด ความกังวล และความทุกข์ในระยะยาวมากกว่าความสุขที่ได้มาในระยะสั้น

·        ละเลยความสัมพันธ์และสุขภาพ: บางคนทุ่มเทเวลาและสุขภาพไปกับการหาเงิน จนละเลยความสัมพันธ์กับคนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนฝูง และละเลยการดูแลสุขภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของความสุขที่สำคัญที่สุดในชีวิต

·        ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน: การมีเงินมากมายแต่ไม่รู้จะใช้ไปเพื่ออะไร หรือไม่มีเป้าหมายในชีวิต ก็อาจนำไปสู่ความว่างเปล่าได้

·        ไม่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของเงิน: มองเงินเป็นแค่ตัวเลข หรือเป็นแค่เครื่องมือในการซื้อสิ่งของ โดยไม่เข้าใจว่าเงินสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างอิสระ, โอกาส, และคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้

4. ใช้เงินอย่างไรให้มีความสุขอย่างยั่งยืน: บทสรุปจากจิตวิทยาการเงิน

เพื่อให้เงินเป็นเครื่องมือที่นำพาคุณไปสู่ความสุขที่แท้จริง  คุณผู้ชมควรพิจารณาวิธีใช้เงินดังนี้:

·        ลงทุนในความมั่นคงพื้นฐาน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีเงินเพียงพอสำหรับความต้องการพื้นฐานทั้งหมด และมีเงินสำรองฉุกเฉินที่สามารถรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ นี่คือรากฐานของความสุขที่ไม่ใช่แค่ความสุขชั่วคราว

·        ซื้อ "ประสบการณ์" มากกว่า "สิ่งของ": จัดสรรงบประมาณสำหรับการเดินทาง, กิจกรรม, หรือคอร์สเรียน ที่จะสร้างความทรงจำและพัฒนาตัวคุณ

·        ใช้เงินซื้อ "เวลา": หากการซื้อบริการบางอย่างสามารถช่วยประหยัดเวลาและลดความเครียดในชีวิตประจำวันของคุณได้ จงพิจารณาสิ่งนั้น

·        ลงทุนใน "ตัวเอง": การศึกษา, สุขภาพ, หรือทักษะใหม่ๆ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว

·        ใช้เงินเพื่อ "สร้างความสัมพันธ์": การใช้เวลากับคนที่คุณรัก, การให้ของขวัญที่แสดงความใส่ใจ, หรือการช่วยเหลือผู้อื่น จะช่วยเสริมสร้างความสุขจากการเชื่อมโยงกับคนรอบข้าง

·        แบ่งปัน "การให้": การบริจาคหรือช่วยเหลือผู้อื่น จะสร้างความสุขที่ลึกซึ้งจากการเป็นผู้สร้างคุณค่าให้กับสังคม

·        กำหนด "จุดพอดี" ของตัวเอง: ทำความเข้าใจว่าความสุขของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่คือการมีเงินที่เพียงพอต่อความต้องการและเป้าหมายของคุณ และใช้เงินอย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างชีวิตที่คุณต้องการ

บทสรุป: เงินคือเครื่องมือ สุขภาพคือผลลัพธ์

เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่ซื้อความสุขได้ครับ แต่เงินก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงความสุขบางรูปแบบ และลดความทุกข์ในชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หากเราใช้เงินอย่างไม่เข้าใจหลักการ หรือปล่อยให้อารมณ์มาบงการ การมีเงินมากแค่ไหนก็อาจไม่นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้เลย

ขอให้ คุณผู้ชมทุกท่านเรียนรู้ที่จะใช้เงินเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตที่มีความสุข ความมั่นคง และความหมาย ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขในบัญชีนะครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม