![]() |
วิธีตั้งเป้าหมายการเงินแบบ SMART |
วิธีตั้งเป้าหมายการเงินแบบ
SMART: ฉบับปฏิบัติจริง
คุณเคยไหมครับที่ตั้งใจจะเก็บเงิน
แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เดือนเดียวแล้วล้มเลิก? หรืออยากจะปลดหนี้ให้หมด แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากคุณไม่มีความพยายามนะครับ
แต่บ่อยครั้งมันเกิดจาก "การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน" วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง
นั่นคือ "SMART Goal: ฉบับปฏิบัติจริง" ที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นแผนที่ชัดเจน
และนำไปสู่การลงมือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการ SMART ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายวงการ
ไม่ใช่แค่การเงิน แต่ยังรวมถึงการพัฒนาตนเอง การบริหารธุรกิจ และอื่นๆ
เพราะมันช่วยให้เราสามารถแปลงความปรารถนาที่ไม่ชัดเจนให้เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้
วัดผลได้ และสร้างแรงจูงใจในการลงมือทำได้จริงครับ
ทำไมต้องตั้งเป้าหมายแบบ SMART?
- ชัดเจน: ทำให้คุณรู้ว่าคุณต้องการอะไรอย่างแท้จริง
- วัดผลได้: คุณสามารถติดตามความก้าวหน้าและรู้ว่าเหลืออีกเท่าไหร่
- ทำได้จริง: ป้องกันการตั้งเป้าที่สูงเกินไปจนท้อแท้
- เกี่ยวข้อง: ทำให้เป้าหมายมีความหมายและเป็นแรงขับเคลื่อนจากภายใน
- มีกรอบเวลา: สร้างความเร่งด่วนและป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง
ถ้าคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนวิธีตั้งเป้าหมายทางการเงินของคุณให้ได้ผลจริงแล้ว
มาเจาะลึกแต่ละองค์ประกอบของ SMART Goal และดูตัวอย่างการนำไปใช้กันเลยครับ
S
- Specific (เฉพาะเจาะจง)
เป้าหมายของคุณต้องไม่คลุมเครือ
ต้องระบุให้ชัดเจนว่าคุณต้องการอะไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง
และเหตุผลเบื้องหลังเป้าหมายนั้นคืออะไร
ตัวอย่างการปรับปรุง:
- ไม่ SMART:
"ฉันจะเก็บเงิน"
- SMART (Specific):
"ฉันจะเก็บเงิน 100,000 บาท เพื่อใช้เป็น เงินดาวน์ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รุ่น Nissan
Leaf ภายในปีหน้า เพื่อ ลดค่าใช้จ่ายน้ำมันและเดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น"
คำถามที่ช่วยให้เฉพาะเจาะจง:
- คุณอยากได้อะไรให้ชัดเจน? (เช่น เงินเท่าไหร่? เพื่ออะไร?)
- ทำไมเป้าหมายนี้ถึงสำคัญกับคุณ?
- ใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายนี้
(ถ้ามี)?
การที่เป้าหมายเฉพาะเจาะจง
จะช่วยให้คุณโฟกัสได้ถูกจุด และไม่หลงทางระหว่างทาง
M
- Measurable (วัดผลได้)
เป้าหมายของคุณต้องมีตัวเลขหรือเกณฑ์ที่สามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจน
เพื่อให้คุณรู้ว่าคุณก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และเมื่อไหร่ที่คุณจะสามารถบอกได้ว่า
"ฉันทำสำเร็จแล้ว!"
ตัวอย่างการปรับปรุง:
- ไม่ SMART:
"ฉันจะปลดหนี้"
- SMART (Measurable):
"ฉันจะปลดหนี้บัตรเครดิตให้เหลือ 0 บาท จากยอดปัจจุบัน 85,000 บาท"
- SMART (Measurable):
"ฉันจะลงทุนในกองทุนรวมหุ้นให้มีมูลค่าพอร์ต 500,000
บาท"
คำถามที่ช่วยให้วัดผลได้:
- คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณบรรลุเป้าหมายแล้ว?
- มีจำนวนเท่าไหร่? ปริมาณเท่าไหร่?
- ฉันจะวัดความก้าวหน้าได้อย่างไร?
การวัดผลได้จะทำให้คุณมีหลักชัยที่มองเห็นได้ชัดเจน
และเป็นกำลังใจให้คุณก้าวต่อไปเมื่อเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นหรือหนี้ลดลง
A
- Achievable (ทำได้จริง)
เป้าหมายที่ดีควรท้าทาย
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงด้วยทรัพยากรและความสามารถที่คุณมีในปัจจุบัน
การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินเอื้อมจะทำให้คุณท้อแท้และยอมแพ้ได้ง่าย
ตัวอย่างการปรับปรุง:
- ไม่ SMART:
"ฉันจะรวย 100 ล้านบาทภายใน 1
ปี (ถ้าเงินเดือน 25,000 บาท)" -
ไม่สมจริง
- SMART (Achievable):
"ฉันจะเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ได้ 120,000 บาท (เท่ากับรายจ่าย 6 เดือน) โดยหักจากเงินเดือน 10,000 บาทต่อเดือน และใช้เงินโบนัสปลายปีอีก 20,000 บาท"
(ถ้าเงินเดือนและโบนัสเป็นไปได้)
คำถามที่ช่วยให้ทำได้จริง:
- คุณมีทรัพยากร (เงิน, เวลา, ทักษะ)
เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายนี้หรือไม่?
- มีอุปสรรคอะไรบ้าง? คุณจะเอาชนะมันได้อย่างไร?
- เป้าหมายนี้สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ปัจจุบันของคุณหรือไม่?
การประเมินความเป็นไปได้ตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณสร้างแผนการที่ยั่งยืนและไม่ทำให้ตัวเองหมดกำลังใจไปเสียก่อน
R
- Relevant (เกี่ยวข้อง / มีความหมาย)
เป้าหมายทางการเงินของคุณควรมีความหมายต่อตัวคุณจริงๆ
สอดคล้องกับค่านิยม เป้าหมายชีวิตโดยรวม หรือสิ่งที่คุณต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต
เมื่อเป้าหมายมีความหมาย คุณจะมีแรงขับเคลื่อนจากภายในที่แข็งแกร่ง
ตัวอย่างการปรับปรุง:
- ไม่ SMART:
"ฉันจะลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี"
- SMART (Relevant):
"ฉันจะลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี 50,000 บาท (เป็นส่วนหนึ่งของการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน)
เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และมองหาโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว
ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจในการศึกษาเทคโนโลยีทางการเงิน"
คำถามที่ช่วยให้เกี่ยวข้องและมีความหมาย:
- เป้าหมายนี้สำคัญกับคุณจริงๆ
หรือแค่ทำตามกระแส?
- มันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ชีวิตในระยะยาวของคุณหรือไม่?
- มันจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่าหรือไม่?
เมื่อเป้าหมายมีความหมายกับชีวิตของคุณ
มันจะเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมด
T
- Time-bound (มีกรอบเวลา)
ทุกเป้าหมายต้องมีเส้นตายที่ชัดเจน
การมีกรอบเวลาจะช่วยสร้างความเร่งด่วน กำหนดลำดับความสำคัญ
และกระตุ้นให้คุณลงมือทำตามแผน ไม่ใช่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างการปรับปรุง:
- ไม่ SMART:
"ฉันจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง"
- SMART (Time-bound):
"ฉันจะเริ่มต้นธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ของตัวเอง
โดยเริ่มลงสินค้า 10 แบบแรก ภายในวันที่ 31
มีนาคม ปีหน้า"
- SMART (Time-bound):
"ฉันจะชำระหนี้บ้านให้หมด ภายใน 7 ปี"
คำถามที่ช่วยให้มีกรอบเวลา:
- เมื่อไหร่ที่คุณจะบรรลุเป้าหมายนี้?
- ต้องทำอะไรภายในสัปดาห์นี้
เดือนนี้ ไตรมาสนี้ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย?
การมีเส้นตายจะช่วยให้คุณโฟกัสและมีวินัยในการทำงานให้สำเร็จตามกำหนด
และความรู้สึกของการบรรลุเป้าหมายภายในเวลาที่กำหนดจะยิ่งใหญ่มาก
SMART
Goal ฉบับปฏิบัติจริง: ตัวอย่างการนำไปใช้
ลองมาดูตัวอย่างการตั้งเป้าหมาย SMART แบบครบวงจรในสถานการณ์จริงกันครับ:
สถานการณ์: คุณณเด่น (สมมติว่าเป็นคนเริ่มต้นทำงาน, เงินเดือน 25,000 บาท,
มีรายจ่ายประจำ 18,000 บาท, มีหนี้บัตรเครดิต 30,000 บาท)
เป้าหมายเดิมที่ไม่ชัดเจน: "ฉันอยากเก็บเงินไปเที่ยวญี่ปุ่น"
และ "ฉันอยากปลดหนี้"
แปลงเป็น SMART Goal:
1.
เป้าหมายที่
1 (เที่ยวญี่ปุ่น):
o
S: "ฉันจะเก็บเงิน 60,000 บาท เพื่อใช้เดินทางไปเที่ยวประเทศ ญี่ปุ่น 7
วัน 6 คืน"
o
M: "ยอดเงินในบัญชีเป้าหมายต้องถึง 60,000
บาท"
o
A: "จากเงินเหลือเก็บเดือนละ 7,000 บาท (25,000 - 18,000) ฉันจะเก็บเดือนละ 5,000
บาท"
o
R: "เพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเองหลังจากทำงานหนักมาตลอด
และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่"
o
T: "ให้สำเร็จภายใน 12 เดือน (60,000/5,000 = 12 เดือน)"
o
รวม: "ฉันจะเก็บเงิน 60,000 บาท เพื่อใช้เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น 7 วัน 6
คืน โดยออมเดือนละ 5,000 บาท ให้สำเร็จภายใน 12
เดือน"
2.
เป้าหมายที่
2 (ปลดหนี้):
o
S: "ฉันจะปลดหนี้บัตรเครดิต ยอดคงเหลือ 30,000
บาท"
o
M: "ยอดหนี้บัตรเครดิตต้องเป็น 0 บาท"
o
A: "ฉันจะโปะหนี้เดือนละ 2,000 บาท จากเงินเหลือ (ใช้เงินเหลือ 7,000 บาทแบ่งเป็น
ออม 5,000 และโปะหนี้ 2,000)"
o
R: "เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและสร้างประวัติเครดิตที่ดี"
o
T: "ให้สำเร็จภายใน 15 เดือน (30,000/2,000 = 15 เดือน)"
o
รวม: "ฉันจะปลดหนี้บัตรเครดิตยอดคงเหลือ 30,000
บาท โดยโปะเดือนละ 2,000 บาท ให้สำเร็จภายใน 15
เดือน"
จะเห็นได้ว่า เมื่อเป้าหมายชัดเจนแบบ SMART เราจะรู้ทันทีว่าต้องทำอะไร
ต้องเก็บเท่าไหร่ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และต้องปรับพฤติกรรมอะไรบ้าง
นี่แหละคือแผนที่ชีวิตทางการเงินที่แท้จริง
บทสรุป: เปลี่ยนความฝันให้เป็นแผนที่จับต้องได้
การตั้งเป้าหมายทางการเงินแบบ SMART ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำราครับ
แต่มันคือเครื่องมือสำคัญที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันเพื่อปลดล็อกศักยภาพทางการเงินของคุณ
อย่าปล่อยให้ความฝันของคุณเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ
แล้งๆ อีกต่อไปนะครับ ลุกขึ้นมาเขียนเป้าหมาย SMART
ของคุณตอนนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นการออม การปลดหนี้ การลงทุน
หรือการสร้างความมั่งคั่ง เพราะเมื่อคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
การเดินทางสู่ความสำเร็จทางการเงินก็จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง
และอยู่ในกำมือของคุณครับ!
ไม่มีความคิดเห็น:
Write comments