ทำไมเราถึงใช้เงินเกินตัว? เข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย

 

 


ทำไมเราถึงใช้เงินเกินตัว? เข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย

คุณเคยไหมครับที่ตอนสิ้นเดือนมานั่งดูบัญชีแล้วถอนหายใจยาวๆ ว่า "เงินหายไปไหนหมดนะ?" หรือ "ทำไมเงินเก็บถึงไม่เพิ่มขึ้นเลย?" ทั้งที่เราก็พยายามควบคุมการใช้จ่ายแล้ว?

บ่อยครั้งที่เราใช้เงินเกินตัว ไม่ใช่เพราะเราตั้งใจจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยครับ แต่เป็นเพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากภายในตัวเราเองและจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราโดยไม่รู้ตัว

การเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราใช้เงินเกินตัว จะเป็นก้าวแรกและเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ คุณผู้ชมทุกคนสามารถควบคุมการเงินของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเริ่มมีเงินเหลือเก็บตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ครับ

วันนี้เราจะมาเจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ใช้เงินเกินตัว พร้อมวิธีทำความเข้าใจและจัดการกับพฤติกรรมเหล่านั้นครับ

1. แรงกระตุ้นทางอารมณ์ (Emotional Spending)

นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดครับ เรามักจะใช้เงินเพื่อตอบสนองอารมณ์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความเครียด หรือความเบื่อหน่าย

·        เมื่อมีความสุข: ฉลองความสำเร็จด้วยการซื้อของแพงๆ, เลี้ยงฉลองเพื่อนฝูง

·        เมื่อรู้สึกเศร้าหรือเครียด: ซื้อของเพื่อปลอบใจตัวเอง (Retail Therapy), กินอาหารแพงๆ เพื่อคลายเครียด

·        เมื่อรู้สึกเบื่อ: เลื่อนดูสินค้าออนไลน์แล้วกดสั่งซื้อ, สมัครบริการสตรีมมิ่งที่ไม่ได้ใช้บ่อย

·        FOMO (Fear Of Missing Out): กลัวจะพลาดโปรโมชั่น หรือกระแสฮิต ทำให้ซื้อทั้งที่ไม่ได้จำเป็น

ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? การใช้จ่ายเงินเพื่อตอบสนองอารมณ์เป็นการหาความสุขหรือคลายเครียดในระยะสั้น สมองจะหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งทำให้เรารู้สึกดี ทำให้เราเสพติดพฤติกรรมนี้

วิธีรับมือ:

·        ระบุอารมณ์: ก่อนที่จะใช้จ่ายเงิน ลองหยุดและถามตัวเองว่า "ฉันกำลังรู้สึกอะไรอยู่ตอนนี้?" "ฉันกำลังจะซื้อสิ่งนี้เพื่อตอบสนองอารมณ์อะไร?"

·        หากิจกรรมอื่นแทน: หากรู้สึกเครียดหรือเบื่อ ลองหากิจกรรมอื่นที่ช่วยคลายอารมณ์ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น ออกกำลังกาย, อ่านหนังสือ, ฟังเพลง, หรือพูดคุยกับเพื่อน

·        ใช้ "กฎ 24 ชั่วโมง": หากอยากได้อะไรมากๆ ให้รอ 24 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณต้องการสิ่งนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ตามอารมณ์ชั่ววูบ

2. อิทธิพลจากสังคมและคนรอบข้าง (Social Influence)

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรามักได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่คนที่เราเห็นบนโซเชียลมีเดีย

·        การตามเพื่อน: เพื่อนชวนไปกินข้าวร้านแพงๆ, ชวนไปเที่ยวต่างประเทศ, หรือชวนซื้อของแบรนด์เนม เราก็อยากจะตามไป ไม่ได้อยากให้ตัวเองดูแตกต่าง

·        การสร้างภาพลักษณ์: อยากให้ตัวเองดูดี มีฐานะ หรือทันสมัย เพื่อได้รับการยอมรับในสังคม ทำให้ต้องซื้อของที่เกินตัว

·        โซเชียลมีเดีย: เห็นเพื่อนๆ หรืออินฟลูเอนเซอร์ใช้ชีวิตหรูหรา ซื้อของแพงๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากได้อยากมีตาม

ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? เรามีความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และกลัวการถูกตัดสินจากสังคม พฤติกรรมนี้เรียกว่า "Bandwagon Effect" หรือการทำตามคนหมู่มาก

วิธีรับมือ:

·        เข้าใจคุณค่าของตัวเอง: สร้างความมั่นใจในตัวเองและเข้าใจว่าความสุขและความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่สิ่งของที่คุณมี

·        กำหนดงบประมาณ: ตั้งงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายทางสังคมที่ชัดเจน และยึดมั่นกับมัน

·        เลือกกลุ่มเพื่อนที่ส่งเสริมกัน: หากเพื่อนของคุณชวนแต่เรื่องใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ลองหากลุ่มเพื่อนที่มีเป้าหมายทางการเงินคล้ายกับคุณ

·        ลดการเสพสื่อที่ไม่จำเป็น: ลองจำกัดเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย หรือ Unfollow บัญชีที่ทำให้คุณรู้สึกอยากใช้จ่าย

3. การขาดการวางแผนและติดตาม (Lack of Planning & Tracking)

หลายคนใช้จ่ายไปวันๆ โดยไม่มีแผนการเงินที่ชัดเจน หรือไม่เคยรู้เลยว่าเงินของตัวเองไปอยู่ที่ไหนบ้าง

·        ไม่มีงบประมาณ: ไม่มีการกำหนดงบประมาณรายรับ-รายจ่ายที่แน่นอน ทำให้ไม่รู้ว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ หรือสามารถใช้จ่ายอะไรได้บ้าง

·        ไม่บันทึกรายรับ-รายจ่าย: ใช้จ่ายเงินออกไปโดยไม่ได้จดบันทึก ทำให้ไม่รู้ว่าเงินไหลออกไปกับอะไรบ้าง และไม่สามารถประเมินได้ว่าส่วนไหนที่ใช้จ่ายเกินตัว

·        ไม่มีเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน: เมื่อไม่มีเป้าหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน ก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะออมหรือควบคุมการใช้จ่าย

ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? การวางแผนและการบันทึกดูเป็นเรื่องยุ่งยากและน่าเบื่อสำหรับหลายคน ทำให้ละเลยการทำสิ่งเหล่านี้ไป

วิธีรับมือ:

·        สร้างงบประมาณส่วนบุคคล: กำหนดงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับแต่ละหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว

·        บันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ: ใช้แอปพลิเคชัน, ตาราง Excel, หรือสมุดบันทึก จดทุกรายรับและรายจ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน

·        กำหนดเป้าหมายทางการเงิน: มีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น "เก็บเงินดาวน์บ้าน 1 ล้านบาท" จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คุณควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น

4. ความสะดวกสบายในการใช้จ่าย (Ease of Spending)

ในยุคดิจิทัล การใช้จ่ายเงินกลายเป็นเรื่องง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ทำให้เราใช้จ่ายโดยไม่ทันคิด

·        Mobile Banking/E-Wallet: การโอนเงินหรือสแกนจ่ายง่ายแค่ปลายนิ้ว ทำให้รู้สึกว่าเงินไม่ได้หายไปจริงๆ

·        บัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด: การใช้เงินอนาคต ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการใช้จ่ายในทันที และอาจนำไปสู่การเป็นหนี้

·        การผ่อนชำระ: การผ่อน 0% ทำให้รู้สึกว่าของแพงก็สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ โดยไม่คิดถึงภาระผ่อนในระยะยาว

·        One-Click Purchase: การซื้อของออนไลน์ที่สามารถสั่งซื้อได้เพียงคลิกเดียว ลดขั้นตอนการตัดสินใจลง

ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? เทคโนโลยีถูกออกแบบมาเพื่อให้การใช้จ่ายง่ายที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เราซื้อและใช้จ่ายมากขึ้น

วิธีรับมือ:

·        ใช้เงินสดบ่อยขึ้น: การใช้เงินสดจะทำให้คุณเห็นเงินที่ออกจากกระเป๋าอย่างชัดเจน และรู้สึก "เจ็บ" กับการใช้จ่ายมากขึ้น

·        จำกัดวงเงินบัตรเครดิต: หรือใช้บัตรเครดิตเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ และชำระเต็มจำนวนทุกเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย

·        ลบข้อมูลบัตรเครดิตออกจากเว็บไซต์/แอป: เพื่อเพิ่มขั้นตอนในการซื้อของออนไลน์ ทำให้คุณมีเวลาคิดก่อนซื้อ

·        คิดถึง "ต้นทุนที่แท้จริง": เมื่อจะผ่อนของ ให้คิดถึงราคาเต็มของสินค้า ไม่ใช่แค่ยอดผ่อนต่อเดือน

5. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ความมั่งคั่ง" และ "ความสุข"

หลายคนเข้าใจผิดว่าการมีเงินเยอะๆ หรือการซื้อของแพงๆ จะทำให้พวกเขามีความสุขและมีคุณค่าในตัวเอง นี่คือแนวคิดที่ถูกปลูกฝังจากสังคมทุนนิยมและโฆษณา

·        วัตถุนิยม: เชื่อว่าความสุขมาจากสิ่งของ และการมีของแพงๆ แสดงถึงความสำเร็จ

·        การเปรียบเทียบ: เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่ดูมีฐานะดีกว่า ทำให้รู้สึกว่าตัวเองต้องมีเหมือนคนอื่น

·        "ต้องมี" ก่อน "ต้องรวย": หลายคนคิดว่าต้องซื้อของที่อยากได้ก่อน แล้วค่อยออมหรือลงทุน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาด

ทำไมมันถึงเกิดขึ้น? การตลาดและสังคมมักจะโฆษณาว่าการมีสิ่งของคือความสุข และความมั่งคั่งคือการแสดงออกด้วยวัตถุภายนอก

วิธีรับมือ:

·        นิยามความสุขของคุณเอง: ความสุขที่แท้จริงของคุณคืออะไร? มันใช่การซื้อของแพงๆ หรือไม่? บางทีอาจเป็นการใช้เวลากับครอบครัว, การท่องเที่ยว, หรือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

·        ลงทุนในประสบการณ์: ลองใช้เงินเพื่อสร้างประสบการณ์และความทรงจำแทนการซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็น

·        ปรับ Mindset: เปลี่ยนมุมมองจาก "ฉันซื้อสิ่งนี้เพื่อแสดงฐานะ" เป็น "ฉันลงทุนสิ่งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงและอิสระ"

·        ลดการเปรียบเทียบ: โฟกัสที่การพัฒนาตัวเองและเป้าหมายของตัวเอง ไม่ใช่การเปรียบเทียบกับคนอื่น

บทสรุป: การเข้าใจตัวเองคือกุญแจสู่การเงินที่ดี

การใช้เงินเกินตัวไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะมนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ สังคม และสิ่งกระตุ้นมากมาย แต่เมื่อ คุณผู้ชมเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงเหล่านี้ คุณก็จะสามารถสร้างเกราะป้องกันและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างตรงจุดครับ

เริ่มต้นจากการสังเกตตัวเอง, วางแผนการเงิน, ควบคุมการเข้าถึงสิ่งยั่วยุ และปรับเปลี่ยน Mindset เกี่ยวกับความสุขและความมั่งคั่ง การทำสิ่งเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณควบคุมการเงินของตัวเองได้ดีขึ้น และมีเงินเหลือเก็บตามเป้าหมายที่วางไว้ในที่สุดครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม