ความเสี่ยงในการลงทุน: รู้ก่อนเริ่ม ลงทุนอย่างปลอดภัย

 

 


ความเสี่ยงในการลงทุน: รู้ก่อนเริ่ม ลงทุนอย่างปลอดภัย

   ครับ เมื่อเราพูดถึงการลงทุน สิ่งที่มักจะมาคู่กับคำว่า "ผลตอบแทนสูง" เสมอคือคำว่า "ความเสี่ยง" ครับ หลายคนอาจรู้สึกกังวลหรือกลัวที่จะลงทุน เพราะได้ยินเรื่องราวการขาดทุน หรือตลาดผันผวนจนทำให้เงินหายไป แต่แท้จริงแล้ว "ความเสี่ยง" ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หากเรารู้จักและเข้าใจมันอย่างถ่องแท้

การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไปครับ ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ปราศจากความเสี่ยง 100% แต่การรู้ว่าความเสี่ยงเหล่านั้นคืออะไร และจะจัดการกับมันได้อย่างไร จะช่วยให้ คุณผู้ชมทุกคนสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้โดยไม่สูญเสียเงินต้นไปโดยไม่จำเป็นครับ

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงในการลงทุน" ประเภทต่างๆ พร้อมแนวทางการรับมือ เพื่อให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจครับ

ความเสี่ยงคืออะไรในการลงทุน?

ในบริบทของการลงทุน "ความเสี่ยง" หมายถึง "โอกาสที่ผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง" หรือ "โอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนไปบางส่วนหรือทั้งหมด"

การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง มักจะมีความเสี่ยงสูงตามมาเสมอ หรือที่เรียกว่า "High Risk, High Return" และในทางกลับกัน สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าด้วย

สิ่งสำคัญคือการหา "จุดสมดุล" ระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ "คุณยอมรับได้" ครับ

ประเภทของความเสี่ยงในการลงทุนที่พบบ่อย

ความเสี่ยงในการลงทุนสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท แต่ละประเภทก็ส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนของเราแตกต่างกันไป

1.         ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจโดยรวม หรือตลาดทุนโดยรวม ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ทุกตัวหรือเกือบทุกตัวพร้อมกัน ไม่ใช่เฉพาะสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง

o   ตัวอย่าง: วิกฤตเศรษฐกิจ, โรคระบาด, ภาวะเงินเฟ้อสูง, การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นตกทั้งตลาด หรือราคาสินทรัพย์อื่น ๆ ปรับตัวลดลง

o   วิธีรับมือ: เป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก แต่สามารถลดผลกระทบได้ด้วยการ กระจายการลงทุน (Diversification) ไปยังสินทรัพย์หลายประเภท (เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ) ที่มีพฤติกรรมแตกต่างกัน หรือ ลงทุนในระยะยาว เพื่อให้ตลาดมีเวลาฟื้นตัว

2.         ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Specific Risk / Idiosyncratic Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ หรือบริษัทนั้นๆ โดยตรง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาวะตลาดโดยรวม

o   ตัวอย่าง: บริษัทที่คุณลงทุนมีผลประกอบการแย่ลง, เกิดเรื่องอื้อฉาว, ผู้บริหารเปลี่ยน, การแข่งขันสูงขึ้น, หรือธุรกิจอยู่ในภาวะถดถอย ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกลงแม้ตลาดโดยรวมจะดี

o   วิธีรับมือ: สามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ด้วยการ กระจายการลงทุน ไปในหุ้นหลายๆ ตัว หรือหลายอุตสาหกรรม และ ศึกษาข้อมูลของบริษัท (Fundamental Analysis) ที่คุณจะลงทุนอย่างละเอียด

3.         ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่คุณไม่สามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ได้อย่างรวดเร็ว หรือไม่สามารถซื้อขายได้ในราคาที่ยุติธรรม หรือไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามต้องการ

o   ตัวอย่าง: การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, หุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีการซื้อขายมากนัก, หรือสินทรัพย์ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เมื่อคุณต้องการใช้เงินด่วน คุณอาจต้องยอมขายในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก

o   วิธีรับมือ: เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนรวม หรือหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง และมี เงินสำรองฉุกเฉิน เพียงพอ เพื่อที่คุณจะไม่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ลงทุนเมื่อราคาไม่ดี

4.         ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ หรือทางอ้อมต่อหุ้น

o   ตัวอย่าง: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าของตราสารหนี้ที่ออกไปก่อนหน้า (ซึ่งมีดอกเบี้ยต่ำกว่า) จะลดลง เพื่อให้ผลตอบแทนปรับเข้ากับอัตราดอกเบี้ยใหม่ นอกจากนี้ การขึ้นดอกเบี้ยยังทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลลบต่อหุ้น

o   วิธีรับมือ: กระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุแตกต่างกัน, เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยมากนัก หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการจัดพอร์ต

5.         ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่อำนาจซื้อของเงินลงทุนของคุณจะลดลง เนื่องจากราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เงินเฟ้อ) ทำให้เงินของคุณมีมูลค่าน้อยลงในอนาคต

o   ตัวอย่าง: คุณมีเงิน 100 บาท วันนี้ซื้อข้าวได้ 2 จาน แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้วยเงิน 100 บาทเท่าเดิม คุณอาจซื้อข้าวได้เพียง 1 จาน หรือน้อยกว่านั้น

o   วิธีรับมือ: ลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถเติบโตได้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว เช่น หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนในทองคำหรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่มักใช้ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ

6.         ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk):

o   คืออะไร: ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศ

o   ตัวอย่าง: คุณลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ สมมติว่าหุ้นมีมูลค่าเท่าเดิม แต่หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท เมื่อคุณแปลงกลับเป็นเงินบาท มูลค่าเงินลงทุนของคุณจะลดลง

o   วิธีรับมือ: เลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging), หรือกระจายการลงทุนในสกุลเงินที่หลากหลาย

รู้ความเสี่ยงแล้ว จะลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย? (แนวทางการบริหารความเสี่ยง)

การรู้จักประเภทของความเสี่ยงเป็นเพียงครึ่งทางครับ การบริหารจัดการความเสี่ยงต่างหากคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณลงทุนได้อย่างปลอดภัย

1.         ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง: ทำแบบทดสอบ Risk Profile (แบบประเมินความเสี่ยง) ที่มักมีให้ทำในเว็บไซต์ของธนาคารหรือ บลจ. เพื่อทำความเข้าใจว่าคุณเหมาะสมกับสินทรัพย์ประเภทไหน

2.         กระจายการลงทุน (Diversification): นี่คือกฎทองของการลงทุน!

o   กระจายในสินทรัพย์หลายประเภท: หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์

o   กระจายในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน: ไม่ใช่แค่หุ้น แต่เป็นหุ้นจากหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม

o   กระจายตามภูมิภาค: ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

3.         ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging - DCA): ช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนและลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด

4.         ลงทุนระยะยาว: ให้เวลาสินทรัพย์ของคุณเติบโตและฟื้นตัวจากความผันผวนในระยะสั้น

5.         ศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารอยู่เสมอ: ความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เข้าใจสิ่งที่คุณลงทุนและหมั่นศึกษาข้อมูลต่างๆ

6.         มีเงินสำรองฉุกเฉิน: เตรียมเงินสำรองไว้ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อที่คุณจะไม่ต้องถอนเงินลงทุนออกมาใช้ในยามวิกฤต

7.         ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินที่มีใบอนุญาต ซึ่งสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณได้

บทสรุป: ความเสี่ยงคือโอกาส หากเรารู้จักมัน

   ครับ ความเสี่ยงในการลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ต้องหลีกหนี แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และบริหารจัดการ การเข้าใจประเภทของความเสี่ยงและรู้วิธีรับมือ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับตัวเอง และลดโอกาสในการสูญเสียเงินลงทุนไปโดยไม่จำเป็น

การลงทุนอย่างปลอดภัย ไม่ได้หมายถึงการไม่กล้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเลย แต่หมายถึงการ "ลงทุนอย่างมีเหตุผล มีแผนการ และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ"

จำไว้ว่า "High Risk, High Return" ก็จริง แต่ "High Risk, High Loss" ก็เป็นไปได้เช่นกัน ความรู้และการวางแผนที่ดีเท่านั้นที่จะนำพาคุณไปสู่ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในโลกของการลงทุนครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม