เข้าใจคำว่า "ผลตอบแทน" และ "ความเสี่ยง" ในการลงทุน
ในโลกของการลงทุน
มีสองคำที่เหมือนคู่แฝดที่ต้องมาคู่กันเสมอ นั่นคือ "ผลตอบแทน" และ "ความเสี่ยง" ครับ
นักลงทุนทุกคนล้วนต้องการผลตอบแทนที่สูง
แต่บ่อยครั้งที่เราลืมไปว่าผลตอบแทนที่สูงนั้นมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของสองสิ่งนี้อย่างลึกซึ้งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้
คุณผู้ชมทุกคนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาด
ไม่ใช่แค่การวิ่งตามผลตอบแทนที่เย้ายวนใจ
แต่เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ครับ
วันนี้เราจะมาตีแผ่ความหมายของ "ผลตอบแทน" และ
"ความเสี่ยง"
รวมถึงความสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ได้ของทั้งสองสิ่งนี้กันครับ
"ผลตอบแทน" (Return): สิ่งที่คุณจะได้จากการลงทุน
ผลตอบแทน ในการลงทุนคือ "กำไรหรือผลประโยชน์ที่คุณได้รับจากการนำเงินไปลงทุน" ซึ่งอาจมาในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่คุณลงทุนครับ
ประเภทของผลตอบแทนหลักๆ:
1.
กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital
Gain):
o
เป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการที่คุณขายสินทรัพย์ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา
o
ตัวอย่าง: ซื้อหุ้นมา 10 บาท ขายไป 12 บาท
ได้กำไร 2 บาท
o
เหมาะกับ: สินทรัพย์ที่มีราคาผันผวนและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น หุ้น, กองทุนรวมหุ้น, อสังหาริมทรัพย์
2.
รายได้ประจำ (Income /
Yield):
o
เป็นผลตอบแทนที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอจากการถือครองสินทรัพย์นั้นๆ
o
ตัวอย่าง:
§ ดอกเบี้ย: จากเงินฝาก, พันธบัตร,
ตราสารหนี้
§ เงินปันผล: จากหุ้น, กองทุนรวมหุ้น
§ ค่าเช่า: จากอสังหาริมทรัพย์
§ หน่วยลงทุน: จากกองทุนรวมบางประเภทที่จ่ายปันผลเป็นหน่วยลงทุน
o
เหมาะกับ: สินทรัพย์ที่เน้นกระแสเงินสดสม่ำเสมอ เช่น ตราสารหนี้, หุ้นปันผล, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
การคำนวณผลตอบแทน: ผลตอบแทนมักจะถูกแสดงเป็น
"ร้อยละ" (Percentage) ของเงินลงทุนเริ่มต้น เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกันได้ง่าย
·
สูตรพื้นฐาน: ( (ราคาขาย - ราคาซื้อ) + เงินปันผล/ดอกเบี้ยที่ได้รับ ) / ราคาซื้อ x
100%
·
ผลตอบแทนทบต้น (Compounding
Return): นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง
คือการนำผลตอบแทนที่ได้รับไปลงทุนต่อ
เพื่อให้เงินต้นและผลตอบแทนนั้นงอกเงยต่อเนื่องเป็นทวีคูณ
"ความเสี่ยง" (Risk): โอกาสที่คุณจะไม่ได้ตามที่หวัง
(หรือแย่กว่านั้น)
ความเสี่ยง ในการลงทุนคือ "โอกาสที่ผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง" หรือ "โอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนไปบางส่วนหรือทั้งหมด" ครับ
ประเภทของความเสี่ยงหลักๆ (สรุปจากบทความก่อนหน้า):
1.
ความเสี่ยงด้านตลาด (Market
Risk): ความผันผวนของตลาดโดยรวม เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ
ตลาดหุ้นร่วงทั้งกระดาน
2.
ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Specific
Risk): ปัญหาของบริษัทหรือสินทรัพย์นั้นๆ เช่น บริษัทขาดทุน
หุ้นตก
3.
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity
Risk): การที่คุณขายสินทรัพย์ได้ยาก
หรือไม่ได้ราคาที่ต้องการเมื่อต้องการใช้เงินด่วน
4.
ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation
Risk): อำนาจซื้อของเงินลงทุนลดลงตามกาลเวลา
5.
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest
Rate Risk): การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อมูลค่าสินทรัพย์
โดยเฉพาะตราสารหนี้
6.
ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange
Rate Risk): การเปลี่ยนแปลงค่าเงินที่ส่งผลต่อการลงทุนต่างประเทศ
ระดับของความเสี่ยง: สินทรัพย์แต่ละประเภทมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันครับ
โดยทั่วไปจะสามารถจัดเรียงลำดับความเสี่ยงจากต่ำไปสูงได้ดังนี้:
·
ต่ำมาก: เงินฝากออมทรัพย์, พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น
·
ต่ำ: ตราสารหนี้ระยะยาว,
กองทุนรวมตลาดเงิน
·
ปานกลาง: กองทุนรวมผสม, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
·
สูง: หุ้น,
กองทุนรวมหุ้น, ทองคำ, สินทรัพย์ดิจิทัล
ความสัมพันธ์ระหว่าง "ผลตอบแทน" และ "ความเสี่ยง"
นี่คือหัวใจสำคัญของการลงทุนครับ: "ผลตอบแทนที่คาดหวังสูง มักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่าเสมอ" (High
Risk, High Return; Low Risk, Low Return)
·
ไม่มีผลตอบแทนสูงที่ไร้ความเสี่ยง: หากมีใครมาชักชวนให้ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว โดยอ้างว่า
"ไม่มีความเสี่ยง" หรือ "การันตีกำไร" 100% นั่นคือสัญญาณเตือนของ การหลอกลวงหรือแชร์ลูกโซ่ ครับ
ไม่มีสิ่งใดในโลกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงพร้อมความปลอดภัยสมบูรณ์แบบ
·
ความเสี่ยงคือราคาของผลตอบแทน: ยิ่งคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเท่าไหร่
คุณก็ต้องพร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
·
การหาจุดสมดุล: สิ่งสำคัญคือการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับ "ความสามารถในการรับความเสี่ยง"
(Risk Appetite) และ "ความจำเป็นในการรับความเสี่ยง"
(Risk Capacity) ของตัวคุณเอง
o
Risk Appetite: คุณรับความรู้สึกของการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน
o
Risk Capacity: คุณมีเงินสำรองเพียงพอหรือไม่
หากเงินลงทุนของคุณเกิดขาดทุนขึ้นมาจริงๆ
ตัวอย่างความสัมพันธ์:
·
เงินฝาก: ความเสี่ยงต่ำมาก (เงินต้นไม่หาย) ผลตอบแทนก็ต่ำ (ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี)
·
ตราสารหนี้: ความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง (มีโอกาสผันผวนตามดอกเบี้ย แต่เงินต้นมักปลอดภัย)
ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากเล็กน้อย
·
หุ้น/กองทุนรวมหุ้น: ความเสี่ยงสูง (ผันผวนมาก เงินต้นอาจหายได้) ผลตอบแทนมีโอกาสสูงในระยะยาว
(10% ขึ้นไปต่อปี หรือมากกว่า)
สำหรับมือใหม่: จัดการ "ผลตอบแทน" และ
"ความเสี่ยง" อย่างไร?
1.
ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk
Assessment):
o
ทำแบบประเมินความเสี่ยงที่สถาบันการเงินมีให้
o
ซื่อสัตย์กับตัวเองเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อเห็นเงินลงทุนลดลง
o
พิจารณาจากอายุ, ระยะเวลาการลงทุน, และภาระทางการเงิน
2.
กระจายการลงทุน (Diversification):
o
ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย (หุ้น,
ตราสารหนี้, กองทุนรวม)
o
ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว
เพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะตัว
o
ช่วยให้ภาพรวมของพอร์ตไม่ผันผวนรุนแรงเกินไป
3.
ลงทุนระยะยาว:
o
การลงทุนระยะยาวช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้น
o
ทำให้คุณมีเวลาให้ตลาดฟื้นตัวและให้เงินทำงานแบบทบต้น
4.
ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา:
o
ยิ่งคุณเข้าใจสินทรัพย์ที่คุณลงทุนมากเท่าไหร่
คุณก็จะยิ่งบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น
o
ความรู้ช่วยให้คุณแยกแยะได้ว่า
"ความเสี่ยง" ที่เหมาะสม กับ "ความเสี่ยง" ที่เกินตัวคืออะไร
5.
มีเงินสำรองฉุกเฉิน:
o
ช่วยให้คุณไม่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ลงทุนในจังหวะที่ไม่ดี
(เช่น ราคาตกต่ำ) เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน
o
สร้างความสบายใจและลดความกดดันในการลงทุน
6.
ทบทวนพอร์ตการลงทุนเป็นประจำ:
o
อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
ทบทวนว่าพอร์ตการลงทุนของคุณยังสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่
o
ปรับสัดส่วนสินทรัพย์ (Rebalancing)
หากจำเป็น
บทสรุป: ลงทุนอย่างเข้าใจ ไม่ใช่แค่ตามกระแส
ครับ
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง "ผลตอบแทน"
และ "ความเสี่ยง" ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะเลือกสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม
การรู้ว่าคุณกำลังแบกรับความเสี่ยงระดับไหน เพื่อแลกกับผลตอบแทนเท่าไหร่
จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและไม่ถูกอารมณ์ชักจูง