ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการประกันภัย

 

 

การประกันภัย

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการประกันภัย

การประกันภัยอาจดูเป็นเรื่องไกลตัว หรือซับซ้อนสำหรับใครหลายคน แต่จริงๆ แล้วการประกันภัยคือเครื่องมือสำคัญที่อยู่รอบตัวเรา และช่วยให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นครับ เหมือนกับการมีเบาะรองรับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สำหรับหน่วยแรกนี้ เราจะมาทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการประกันภัยกันนะครับ เพื่อปูพื้นฐานความรู้ให้แข็งแรง และเห็นภาพว่าการประกันภัยมีบทบาทสำคัญกับชีวิตและธุรกิจของเราอย่างไรบ้าง

1.1 ลักษณะทั่วไปของการประกันภัย

การประกันภัยไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานะครับ แต่มีวิวัฒนาการมายาวนาน เป็นการรวมตัวกันของผู้คนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ลองมาดูกันว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ความหมายที่แท้จริงคืออะไร และมีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง

1.1.1 ความเป็นมาของการประกันภัย

ย้อนกลับไปในอดีตนานแสนนาน มนุษย์เราต้องเผชิญกับความเสี่ยงและภัยอันตรายต่างๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ หรืออุบัติเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอยู่เสมอ ด้วยสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดและการรวมกลุ่มกันเพื่อความปลอดภัย มนุษย์จึงพยายามหาวิธีที่จะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ครับ

แนวคิดพื้นฐานของการประกันภัยเริ่มก่อตัวขึ้นจาก การรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Mutual Aid) ครับ ลองนึกภาพชาวบ้านในอดีตที่รวมเงินกันเป็นกองกลาง เพื่อช่วยคนที่บ้านถูกไฟไหม้ หรือช่วยคนที่เจ็บป่วย นี่คือจุดเริ่มต้นของการ "เฉลี่ยภัย" ครับ คือการที่คนจำนวนมากร่วมกันนำเงินมาสมทบในกองทุน เพื่อชดเชยให้กับคนจำนวนน้อยที่ประสบภัย

ในยุคกลางของยุโรป เริ่มมีหลักฐานของการประกันภัยทางทะเล (Marine Insurance) ที่ชัดเจนขึ้นครับ โดยเฉพาะที่ประเทศอิตาลีและอังกฤษ เนื่องจากกิจการค้าขายทางทะเลมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งจากพายุ โจรสลัด หรือเรืออับปาง บรรดานักเดินเรือและพ่อค้าจึงคิดค้นวิธีการที่เรียกว่า "การร่วมลงขันเพื่อรับความเสี่ยง" ขึ้นมา คือถ้าเรือของใครอับปาง ทุกคนจะร่วมกันเฉลี่ยความเสียหายให้กับเจ้าของเรือลำนั้นครับ

ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เกิดเหตุการณ์ "ไฟไหม้ครั้งใหญ่" (Great Fire of London) ในปี ค.ศ. 1666 ซึ่งทำลายเมืองเกือบทั้งเมือง ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยทรัพย์สินมากขึ้น นับแต่นั้นมาธุรกิจประกันภัยก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการก่อตั้งบริษัทประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรม มีการคิดคำนวณความเสี่ยงและอัตราเบี้ยประกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น

และนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การประกันภัยได้พัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประกันภัยทางทะเลหรืออัคคีภัยเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการประกันชีวิต การประกันรถยนต์ การประกันสุขภาพ การประกันภัยธุรกิจ และอีกหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการและช่วยบรรเทาความเสียหายในทุกมิติของชีวิตครับ

1.1.2 ความหมายของการประกันภัย

เมื่อเข้าใจความเป็นมาแล้ว เรามาดู "ความหมาย" ของการประกันภัยกันแบบง่ายๆ แต่ได้ใจความนะครับ

การประกันภัย (Insurance) คือ การโอนย้ายความเสี่ยงภัยจากบุคคลหนึ่ง (ผู้เอาประกันภัย) ไปยังอีกบุคคลหนึ่ง (ผู้รับประกันภัย หรือ บริษัทประกันภัย) โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งที่เรียกว่า "เบี้ยประกันภัย" ให้กับบริษัทประกันภัยเป็นการตอบแทน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซึ่งอยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครอง บริษัทประกันภัยจะเข้ามารับผิดชอบ "ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน" หรือเงินช่วยเหลือต่างๆ ให้กับผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้ครับ

สรุปง่ายๆ คือ:

  • เรา (ผู้เอาประกันภัย) จ่ายเงินก้อนเล็กๆ (เบี้ยประกัน) ให้บริษัทประกัน
  • บริษัทประกัน (ผู้รับประกันภัย) ตกลงจะรับความเสี่ยงแทนเรา
  • ถ้าเกิดเหตุร้ายตามที่ระบุในสัญญา บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ (ค่าสินไหมทดแทน) ให้เรา

หัวใจสำคัญของการประกันภัยคือ "หลักการเฉลี่ยภัย" ครับ กล่าวคือ บริษัทประกันภัยจะรวบรวมเบี้ยประกันจากคนจำนวนมากที่ตกลงจะโอนย้ายความเสี่ยงเหมือนกัน และนำเงินเหล่านั้นไปเฉลี่ยจ่ายให้กับคนจำนวนน้อยที่ประสบภัยจริงๆ ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถรับมือกับความเสี่ยงขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระทั้งหมดเพียงลำพังครับ

1.1.3 ประโยชน์ของการประกันภัย

การประกันภัยไม่ได้เป็นแค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการ "ลงทุน" เพื่อความมั่นคงในอนาคตครับ ประโยชน์ของการประกันภัยนั้นมีมากมาย ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และระดับสังคมโดยรวมเลยทีเดียว

ประโยชน์ในระดับบุคคลและครอบครัว:

1.         สร้างความมั่นคงและอุ่นใจ: เมื่อมีประกันภัยรองรับ เราจะรู้สึกมั่นใจและคลายกังวลกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะรู้ว่าจะมีเงินทุนเข้ามาช่วยเยียวยาความเสียหาย หรือใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้

2.         เฉลี่ยภัยและลดภาระทางการเงิน: แทนที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้หมดเนื้อหมดตัวได้ การประกันภัยช่วยให้เราจ่ายเงินจำนวนน้อยกว่า (เบี้ยประกัน) เพื่อโอนย้ายความเสี่ยงก้อนใหญ่ไปให้บริษัทประกัน

3.         วางแผนการเงินในอนาคต: โดยเฉพาะการประกันชีวิตที่ช่วยให้เราสร้างหลักประกันทางการเงินให้กับครอบครัว ในกรณีที่เราจากไปก่อนวัยอันควร หรือใช้เป็นเงินเก็บเพื่อวัยเกษียณ

4.         เป็นแหล่งเงินทุนยามฉุกเฉิน: ในบางกรณี กรมธรรม์ประกันชีวิตบางประเภทสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน หรือมีการจ่ายเงินปันผล/เงินคืนในระหว่างสัญญา ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำรองได้

5.         สร้างวินัยในการออม: การชำระเบี้ยประกันภัยอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะประกันชีวิตบางประเภท ถือเป็นการสร้างวินัยในการออมเงินไปในตัว เพื่อให้มีเงินก้อนไว้ใช้ในอนาคต

6.         ลดหย่อนภาษี: เบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นประโยชน์ทางอ้อมที่สำคัญ

ประโยชน์ในระดับเศรษฐกิจและสังคม:

1.         ส่งเสริมธุรกิจและการลงทุน: เมื่อธุรกิจมีความมั่นใจว่าความเสี่ยงต่างๆ เช่น อัคคีภัย ภัยพิบัติ หรือความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม ได้รับการคุ้มครอง จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนและขยายกิจการมากขึ้น

2.         เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต: หากโรงงานเกิดเพลิงไหม้ บริษัทประกันจะเข้ามาช่วยชดเชยค่าเสียหาย ทำให้โรงงานสามารถซ่อมแซมและกลับมาดำเนินการผลิตได้เร็วขึ้น ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

3.         ลดภาระของภาครัฐ: เมื่อประชาชนสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้ด้วยตัวเองผ่านการประกันภัย ก็จะช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือดูแลสุขภาพของประชาชน

4.         สร้างการจ้างงาน: ธุรกิจประกันภัยเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของบริษัทประกันภัย ตัวแทน/นายหน้าประกันภัย และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

5.         พัฒนาคุณภาพชีวิต: การประกันสุขภาพช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น การประกันชีวิตช่วยสร้างหลักประกันให้ครอบครัว ทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของสังคมดีขึ้น

จะเห็นได้ว่า การประกันภัยนั้นเป็นมากกว่าแค่การคุ้มครองความเสี่ยง แต่มันคือเครื่องมือในการ "บริหารความเสี่ยง" ที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นใจ และเป็นรากฐานสำคัญของการวางแผนชีวิตและการเงินครับ

1.1.4 คำศัพท์ในธุรกิจประกันภัย

เพื่อทำความเข้าใจการประกันภัยได้ลึกซึ้งขึ้น เรามาทำความรู้จักกับ "คำศัพท์" พื้นฐานที่พบบ่อยในธุรกิจประกันภัยกันนะครับ การรู้คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณ และนักอ่านเข้าใจภาษาประกันได้ง่ายขึ้น และไม่สับสนเวลามีการพูดคุยหรืออ่านเอกสารกรมธรรม์ครับ

1.         ผู้เอาประกันภัย (Insured): บุคคลหรือนิติบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัย และเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้

o   ตัวอย่าง: คุณ ทำประกันรถยนต์ คุณ คือผู้เอาประกันภัย

2.         ผู้รับประกันภัย (Insurer): บริษัทประกันภัยที่ตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือจ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ระบุในกรมธรรม์

o   ตัวอย่าง: บริษัท A ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

3.         เบี้ยประกันภัย (Premium): จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อแลกกับการได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ สามารถจ่ายเป็นรายปี รายเดือน หรือตามที่ตกลงกัน

o   ตัวอย่าง: ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ปีละ 15,000 บาท

4.         กรมธรรม์ประกันภัย (Policy): เอกสารสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย ซึ่งระบุรายละเอียดทั้งหมดของความคุ้มครอง เงื่อนไข ข้อกำหนด และข้อตกลงต่างๆ

o   ตัวอย่าง: เอกสารกรมธรรม์ประกันชีวิตที่คุณได้รับเมื่อซื้อประกัน

5.         ผู้รับประโยชน์ (Beneficiary): บุคคลหรือนิติบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย (โดยเฉพาะประกันชีวิต) ซึ่งจะได้รับค่าสินไหมทดแทน หรือเงินตามสัญญา หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ได้รับเงินตามเงื่อนไข

o   ตัวอย่าง: คุณ ทำประกันชีวิตและระบุให้คุณแม่เป็นผู้รับประโยชน์

6.         ค่าสินไหมทดแทน (Claim/Indemnity): จำนวนเงินที่บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายชดเชยให้กับผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ เมื่อเกิดความเสียหาย หรือเหตุการณ์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์

o   ตัวอย่าง: บริษัทประกันจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ให้คุณ  50,000 บาท หลังจากเกิดอุบัติเหตุ

7.         ผู้ประสบภัย (Loss Party): บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย (มักใช้ในประกันวินาศภัย เช่น ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 3+ ที่คุ้มครองคู่กรณี)

o   ตัวอย่าง: รถยนต์คู่กรณีของคุณ ที่ถูกชนเสียหาย

8.         ความคุ้มครอง (Coverage): ขอบเขตหรือประเภทของความเสียหายที่บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบชดเชยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

o   ตัวอย่าง: กรมธรรม์คุ้มครองความเสียหายจากไฟไหม้, น้ำท่วม, และการโจรกรรม

9.         ข้อยกเว้นความคุ้มครอง (Exclusion): เงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ว่า บริษัทประกันภัยจะไม่รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หากความเสียหายเกิดจากสาเหตุเหล่านั้น

o   ตัวอย่าง: ไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการขับขี่ขณะมึนเมา

10.     การเอาประกันภัย (Underwriting): กระบวนการที่บริษัทประกันภัยใช้ในการพิจารณาประเมินความเสี่ยงของผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อตัดสินใจว่าจะรับประกันภัยหรือไม่ และจะกำหนดเบี้ยประกันภัยเท่าไหร่

o   ตัวอย่าง: การที่บริษัทประกันขอประวัติสุขภาพก่อนรับทำประกันชีวิต

11.     ตัวแทนประกันภัย (Insurance Agent): บุคคลที่ได้รับอนุญาตจากบริษัทประกันภัยให้ทำหน้าที่เสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย และให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัย โดยทำงานภายใต้สังกัดของบริษัทประกันภัยนั้นๆ

o   ตัวอย่าง: ตัวแทนประกันชีวิตที่แนะนำแผนประกันชีวิตให้กับคุณ

12.     นายหน้าประกันภัย (Insurance Broker): บุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดหาประกันภัยให้กับผู้ขอเอาประกันภัย โดยทำงานเป็นอิสระและสามารถเสนอผลิตภัณฑ์จากหลายบริษัทประกันภัยได้

o   ตัวอย่าง: นายหน้าที่ช่วยคุณเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากหลายๆ บริษัท

การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจธุรกิจประกันภัยโดยรวม และช่วยให้คุณ สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม