อคติทางการเงิน: 5 ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่ทำให้เงินคุณหาย

 

 

อคติทางการเงิน

อคติทางการเงิน: 5 ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่ทำให้เงินคุณหาย

คุณเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมบางครั้งเราถึงตัดสินใจเรื่องเงินได้ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก ทั้งที่เราก็มีความรู้และข้อมูลที่จำเป็นอยู่แล้ว? เราอาจจะรู้ว่าไม่ควรลงทุนตามกระแส แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดเข้าใส่ หรือรู้ว่าควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน แต่ก็ยังใช้เงินเกินตัวอยู่เสมอ

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของวินัยเท่านั้นครับ แต่บ่อยครั้งมันคือกับดักทางจิตวิทยาที่เรียกว่า "อคติทางการเงิน (Behavioral Biases)" ซึ่งเป็นความผิดพลาดในการคิดที่ฝังอยู่ในสมองของมนุษย์ ทำให้เราตัดสินใจเรื่องเงินไปในทางที่ไม่มีเหตุผลและอาจทำให้เงินของเราหายไปโดยไม่รู้ตัวครับ

วันนี้เราจะมาเจาะลึก 5 อคติทางการเงินที่พบบ่อยที่สุด พร้อมวิธีรับมือเพื่อปกป้องกระเป๋าเงินของ คุณผู้ชมทุกคนให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นครับ

1. อคติแห่งการยืนยัน (Confirmation Bias)

คุณเคยไหมครับที่เวลามีความคิดเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วเรามักจะไปหาข้อมูลหรือฟังแต่สิ่งที่มายืนยันความคิดนั้น? หรือเวลาที่เราเริ่มสนใจหุ้นตัวไหนเป็นพิเศษ เราก็จะมองหาแต่ข่าวดี บทวิเคราะห์เชิงบวก และเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนหรือข่าวร้ายที่อาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยง นี่แหละครับคือ อคติแห่งการยืนยัน ครับ

อคติแห่งการยืนยัน คือแนวโน้มที่เราจะมองหา ตีความ และจดจำข้อมูลที่ ยืนยันความเชื่อเดิม ของเรา และเพิกเฉยหรือมองข้ามข้อมูลที่ ขัดแย้ง กับความเชื่อนั้นๆ อคตินี้อันตรายมากในโลกการเงิน เพราะมันสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ได้เลยครับ

ตัวอย่างในโลกการเงิน:

·        ลงทุนตามกระแสแบบไม่ศึกษา: คุณได้ยินมาว่าหุ้นตัวหนึ่งกำลังมาแรง หรือสินทรัพย์ดิจิทัลบางอย่างกำลังเป็นที่นิยม คุณก็เชื่อว่ามันต้องดีแน่ๆ แล้วก็พยายามหาแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความคิดนั้น พอนักวิเคราะห์คนไหนพูดในแง่ดี คุณก็เชื่อสนิทใจ แต่หากมีใครเตือนว่ามีความเสี่ยง คุณกลับปัดทิ้ง

·        มองข้ามความผิดพลาดของตัวเอง: หากคุณลงทุนผิดพลาด หรือทำธุรกิจแล้วไม่สำเร็จ คุณอาจจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า "เป็นเพราะตลาดไม่ดี" "เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย" หรือ "เป็นเพราะคนอื่น" แทนที่จะวิเคราะห์ความผิดพลาดที่แท้จริงจากการตัดสินใจของตัวเอง

วิธีรับมือกับอคติแห่งการยืนยัน:

·        เปิดใจรับฟังข้อมูลที่หลากหลาย: จงแสวงหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เห็นด้วยหรือผู้ที่เห็นต่างจากคุณ ลองพิจารณาความคิดเห็นที่แตกต่างเพื่อมุมมองที่รอบด้าน

·        ตั้งคำถามกับตัวเองเสมอ: ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือใช้จ่าย ให้ถามตัวเองว่า "มีอะไรบ้างที่ฉันยังไม่ได้คิดถึง?" "มีข้อมูลอะไรบ้างที่อาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ฉันเชื่ออยู่ตอนนี้?"

·        ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง: หากคุณต้องการคำแนะนำที่ปราศจากอคติ ลองหาผู้แนะนำทางการเงินที่สามารถให้มุมมองที่แตกต่างและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลลัพธ์การลงทุนของคุณครับ

2. อคติในการยึดติดกับข้อมูลชุดแรก (Anchoring Bias)

ลองนึกถึงเวลาที่คุณไปซื้อของลดราคา คุณเห็นป้ายราคาเต็มที่ถูกขีดฆ่า แล้วโชว์ราคาใหม่ที่ลดลงมา คุณรู้สึกว่ามัน "ถูกมาก" ใช่ไหมครับ? ทั้งที่จริงแล้ว ราคาตั้งต้นที่ถูกขีดฆ่านั้นอาจจะไม่ใช่ราคาขายจริงในตลาด หรือไม่เคยเป็นราคาปกติด้วยซ้ำ นี่คือผลของ อคติในการยึดติดกับข้อมูลชุดแรก ครับ

อคติในการยึดติดกับข้อมูลชุดแรก คือแนวโน้มที่สมองของเราจะยึดติดกับข้อมูลชุดแรกที่ได้รับ และใช้ข้อมูลนั้นเป็น "จุดยึด (Anchor)" ในการตัดสินใจ แม้ว่าข้อมูลนั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม

ตัวอย่างในโลกการเงิน:

·        ยึดติดกับราคาที่เคยซื้อหุ้น: หากคุณเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาในราคา 10 บาท แต่ตอนนี้ราคาลดลงมาเหลือ 5 บาท คุณก็ยังคงยึดติดว่าราคาที่ "ถูกต้อง" หรือราคาที่คุณ "ควรจะได้" คือ 10 บาท ทำให้ไม่กล้าขายตัดขาดทุนเพราะ "รอให้ถึงทุน" ทั้งที่สถานการณ์ของบริษัทหรือตลาดอาจเปลี่ยนไปแล้ว และราคา 10 บาทอาจไม่มีทางกลับมาในเร็ววันนี้

·        การตั้งราคาเป้าหมายที่ผิดพลาด: นักลงทุนบางคนอาจตั้งราคาเป้าหมายจากการได้ยินราคาจากเพื่อน หรือจากข่าวในอดีต โดยไม่ศึกษาข้อมูลปัจจุบันและมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์นั้นๆ

วิธีรับมือกับอคติในการยึดติดกับข้อมูลชุดแรก:

·        ประเมินข้อมูลใหม่เสมอ: อย่าให้ราคาในอดีต หรือข้อมูลแรกที่คุณได้รับ มามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในปัจจุบันมากเกินไป ให้ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและข้อมูลใหม่ๆ อย่างเป็นกลางอยู่เสมอ

·        ตั้งคำถามกับ "จุดยึด" ของตัวเอง: ถามตัวเองว่า "ทำไมฉันถึงคิดว่าราคานี้คือราคาที่ถูกต้อง?" "มีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่ฉันได้ข้อมูลชุดแรกมา?" และ "ราคาปัจจุบันสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงหรือไม่?"

·        ใช้การวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริง: สำหรับการลงทุน ให้เน้นการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ (Fundamental Analysis) หรือพิจารณาสถานะทางการเงินของธุรกิจ แทนการยึดติดกับราคาในอดีตหรือจุดอ้างอิงที่ไม่มีเหตุผลครับ

3. อคติในการมองโลกในแง่ดีเกินไป (Optimism Bias)

ทุกคนชอบที่จะมองโลกในแง่ดีครับ การมีความหวังเป็นสิ่งที่ดี แต่ในเรื่องการเงิน บางครั้งมันอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราประมาทได้ครับ อคติในการมองโลกในแง่ดีเกินไป คือแนวโน้มที่เราจะเชื่อว่าเหตุการณ์ดีๆ มีโอกาสเกิดขึ้นกับเรามากกว่าคนอื่น และเหตุการณ์ร้ายๆ มีโอกาสเกิดขึ้นกับเราน้อยกว่าคนอื่น

อคตินี้ทำให้เรามองข้ามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง และอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินได้

ตัวอย่างในโลกการเงิน:

·        ไม่เตรียมตัวสำหรับเหตุฉุกเฉิน: เช่น เชื่อว่า "ฉันคงไม่ป่วยหนักหรอก" หรือ "ฉันคงไม่ตกงานหรอก" ทำให้ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือน หรือไม่มีประกันสุขภาพและประกันชีวิตที่ครอบคลุม

·        ประเมินผลตอบแทนการลงทุนเกินจริง: เช่น เชื่อว่า "ฉันลงทุนอะไรก็ต้องได้กำไรเยอะๆ" หรือ "ฉันจะสามารถทำเงินได้เร็วกว่าคนอื่น" ทำให้กล้าเสี่ยงมากเกินไปในการลงทุน โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่แท้จริง

·        ละเลยการวางแผนเกษียณ: เชื่อว่า "เดี๋ยวก็มีเงินเองแหละ" หรือ "ถึงเวลาเกษียณค่อยคิด" ทำให้ไม่ได้เริ่มต้นออมหรือลงทุนเพื่อวัยเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะเชื่อว่าอนาคตจะจัดการตัวเองได้

วิธีรับมือกับอคติในการมองโลกในแง่ดีเกินไป:

·        วางแผนสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (แต่หวังสิ่งที่ดีที่สุด): แม้จะหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ควรเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเสมอ เช่น มีเงินสำรองฉุกเฉิน, มีประกันที่ครอบคลุม, และมีแผนสำรองในกรณีที่รายได้หยุดชะงัก

·        ยึดหลักความเป็นไปได้ทางสถิติ: พยายามมองโลกตามข้อมูลและสถิติ ไม่ใช่ตามความรู้สึกส่วนตัวที่อยากให้เป็น เช่น การลงทุนบางประเภทมีโอกาสขาดทุนสูงกว่าประเภทอื่น คุณต้องยอมรับความจริงนี้

·        ปรึกษาผู้มีประสบการณ์: พูดคุยกับคนที่เคยผ่านประสบการณ์ยากลำบากทางการเงิน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยง เพื่อเรียนรู้และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

4. อคติในการยึดติดสถานะเดิม (Status Quo Bias)

คุณเคยรู้สึกขี้เกียจที่จะเปลี่ยนแพ็กเกจโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ยอมเปลี่ยนธนาคารที่คุณใช้บริการมานาน ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่า มีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ากว่า หรือมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าไหมครับ? นี่คือผลของ อคติในการยึดติดสถานะเดิม ครับ

อคติในการยึดติดสถานะเดิม คือความชอบที่เราจะคงอยู่ในสถานะปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ตาม เพราะการเปลี่ยนแปลงมักจะมาพร้อมกับความไม่แน่นอน ความไม่คุ้นเคย และความพยายามที่ต้องใช้ในการปรับตัว

ตัวอย่างในโลกการเงิน:

·        ไม่ยอมปรับพอร์ตลงทุน: แม้ว่าสินทรัพย์บางตัวที่ถืออยู่จะหมดศักยภาพแล้ว หรือไม่เติบโตเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ยอมขายหรือปรับเปลี่ยน เพราะขี้เกียจวิเคราะห์ใหม่ หรือกลัวการตัดสินใจที่อาจผิดพลาด

·        ไม่ยอมเปลี่ยนธนาคาร/บริษัทประกัน: ทั้งๆ ที่มีข้อเสนอของสถาบันการเงินอื่นที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า หรือมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า แต่ก็ยังคงใช้บริการที่เดิมเพราะคุ้นเคยกับระบบและขั้นตอนเดิมๆ

·        ไม่ยอมเริ่มต้นวางแผนการเงิน: ทั้งที่รู้ว่าสำคัญและจะส่งผลดีต่อชีวิตในอนาคต แต่ก็ยังผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะรู้สึกว่าการเริ่มต้นนั้นยุ่งยาก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน หรือกลัวความรับผิดชอบ

วิธีรับมือกับอคติในการยึดติดสถานะเดิม:

·        ตั้งคำถามกับสถานะปัจจุบัน: ถามตัวเองว่า "สิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ดีที่สุดแล้วจริงหรือ?" "มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าไหมที่ฉันควรลองพิจารณา?"

·        เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ: หากการเปลี่ยนแปลงดูยิ่งใหญ่ ลองแบ่งมันเป็นขั้นตอนเล็กๆ เช่น ถ้าคุณอยากเปลี่ยนธนาคาร ลองแค่เปิดบัญชีใหม่ 1 แห่ง แล้วค่อยๆ ย้ายเงินเข้ามาทีละน้อย

·        กำหนดกรอบเวลาในการตัดสินใจ: หากคุณเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจ ให้ตั้งเวลาจำกัดในการตัดสินใจ เช่น "ฉันจะศึกษาข้อมูลและตัดสินใจเรื่องนี้ภายในวันศุกร์นี้" เพื่อบังคับตัวเองให้ลงมือทำ

5. อคติจากการขาดทุน (Loss Aversion)

มนุษย์เรามักจะรู้สึกถึง "ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย" มากกว่า "ความสุขที่ได้จากการได้มา" ในจำนวนที่เท่ากัน ลองนึกภาพว่าคุณทำเงินหาย 1,000 บาท คุณอาจจะรู้สึกแย่มากๆ แต่ถ้าคุณเจอเงิน 1,000 บาท คุณอาจจะแค่รู้สึกดีใจ ซึ่งความรู้สึกแย่จากการเสียเงินจะรุนแรงกว่าความรู้สึกดีใจที่ได้เงินมา นี่คือแก่นของ อคติจากการขาดทุน ครับ

อคติจากการขาดทุน คือปรากฏการณ์ที่มนุษย์มักจะให้คุณค่ากับสิ่งที่กำลังจะสูญเสียไปมากกว่าสิ่งที่กำลังจะได้รับมา ทำให้เราตัดสินใจบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน แม้ว่าการกระทำนั้นอาจจะไม่สมเหตุสมผลในระยะยาวก็ตาม

ตัวอย่างในโลกการเงิน:

·        ไม่ยอมขายหุ้นที่ขาดทุน: คุณซื้อหุ้นมาในราคา 10 บาท ตอนนี้เหลือ 5 บาท คุณไม่ยอมขายเพราะ "ไม่ต้องการขาดทุนจริง" ทั้งที่หากขายไปและนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่า อาจได้เงินคืนมาเร็วกว่า แต่คุณกลับเลือกที่จะ "รอ" และอาจเสียโอกาสในการทำกำไร

·        เสี่ยงมากเกินไปเพื่อกู้คืนเงินที่เสียไป: เมื่อขาดทุนไปแล้ว บางคนอาจจะตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก เพื่อหวังจะกู้คืนเงินที่เสียไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบ่อยครั้งกลับทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม

·        ยอมจ่ายแพงเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับเล็กน้อย: บางคนยอมจ่ายค่าบริการที่แพงกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับเล็กน้อยที่จะเกิดขึ้น หากไม่ยอมยกเลิกบริการ ทั้งที่ค่าบริการที่จ่ายเพิ่มนั้นอาจจะมากกว่าค่าปรับเสียอีก

วิธีรับมือกับอคติจากการขาดทุน:

·        กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจน: ในการลงทุน ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนที่ยอมรับได้ไว้ล่วงหน้า และปฏิบัติตามวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการขาดทุนที่บานปลาย

·        มองที่โอกาสในอนาคต แทนที่จะยึดติดกับอดีต: หากการลงทุนใดๆ ไม่เป็นไปตามคาด หรือมีสัญญาณที่ไม่ดี ให้พิจารณาว่าการถอนตัวและนำเงินไปลงทุนในโอกาสใหม่ๆ จะดีกว่าการยึดติดอยู่กับสิ่งที่กำลังขาดทุนหรือไม่

·        ฝึกยอมรับความเสี่ยงที่จำเป็น: การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง การยอมรับว่าการขาดทุนเล็กน้อยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ และบางครั้งการตัดขาดทุนคือการรักษาเงินทุนไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้ เป็นทักษะสำคัญที่ต้องฝึกฝน

บทสรุป: การรู้เท่าทันอคติคือการปกป้องเงินในกระเป๋าของคุณ

อคติทางการเงินเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ครับ เราทุกคนล้วนมีอคติเหล่านี้อยู่ในตัว ไม่มากก็น้อย สิ่งสำคัญคือการ "รู้เท่าทัน" ว่าอคติเหล่านี้ทำงานอย่างไร และมันส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของเราอย่างไรบ้าง

เมื่อคุณสามารถระบุและทำความเข้าใจอคติเหล่านี้ได้ คุณจะสามารถก้าวออกมาจากกับดักทางจิตวิทยา และตัดสินใจเรื่องเงินทองได้อย่างมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออม การลงทุน การจัดการหนี้สิน หรือการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

การต่อสู้กับอคติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ มันต้องใช้การฝึกฝนและสติอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อคุณทำได้ คุณจะพบว่าคุณสามารถควบคุมการเงินของตัวเองได้อย่างแท้จริง และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เงินของคุณหายไปโดยไม่จำเป็น

ขอให้ คุณผู้ชมทุกคนนำความรู้เรื่องอคติทางการเงินไปปรับใช้ เพื่อให้ทุกการตัดสินใจนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินและชีวิตที่ดีขึ้นนะครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม