ความกลัวพลาด (FOMO) กับการลงทุน: รับมืออย่างไร?

 

 


ความกลัวพลาด (FOMO) กับการลงทุน: รับมืออย่างไร?

คุณเคยไหมครับที่เห็นเพื่อนหรือคนรู้จักลงทุนในอะไรบางอย่างแล้วได้กำไรมหาศาล แล้วรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้าร่วม? หรือเห็นกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดความรู้สึกร้อนรน อยากจะกระโดดเข้าไปลงทุนด้วยทันที ทั้งที่ไม่มีความรู้หรือข้อมูลเพียงพอ?

ความรู้สึกนี้แหละครับคือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "FOMO" (Fear Of Missing Out) หรือ ความกลัวที่จะพลาดโอกาส ครับ และในโลกของการเงินและการลงทุน FOMO เป็นกับดักทางจิตวิทยาที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันมักจะนำพาเราไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรอบคอบ และอาจทำให้เงินในกระเป๋าของ คุณผู้ชมทุกคนลดลงได้โดยไม่รู้ตัว

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจว่า FOMO คืออะไร ทำไมมันถึงอันตรายกับการลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะรับมือกับความกลัวที่จะพลาดนี้ได้อย่างไร เพื่อให้คุณสามารถลงทุนได้อย่างมีเหตุผลและประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ

1. FOMO คืออะไร? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น?

FOMO (Fear Of Missing Out) คืออาการวิตกกังวลว่าเราอาจจะพลาดโอกาสหรือประสบการณ์ที่ดีที่คนอื่นกำลังมีอยู่ หรือการกลัวที่จะตกรถไฟแห่งความสำเร็จที่คนอื่นกำลังได้ประโยชน์อยู่แล้ว และในบริบทของการลงทุน FOMO มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเห็นคนอื่นทำกำไรจากการลงทุนอย่างรวดเร็ว หรือเห็นราคาสินทรัพย์บางอย่างพุ่งขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้เราเกิดความรู้สึกอยาก "ตาม" เข้าไปร่วมวงด้วย

ทำไม FOMO ถึงเกิดขึ้นในการลงทุน?

·        ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม: มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรามีความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เมื่อเห็นคนอื่นกำลังทำอะไรบางอย่างที่ดูดี เราก็อยากจะทำตาม

·        ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและท่วมท้น: ในยุคดิจิทัล ข่าวสารเรื่องการลงทุน กระแสต่างๆ และเรื่องราวความสำเร็จถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้เราเห็นและรับรู้ได้ง่ายขึ้นว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่

·        ความโลภและความกลัว: FOMO มักเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการปะทะกันของความโลภ (อยากได้กำไรเร็วๆ) และความกลัว (กลัวที่จะพลาดโอกาสรวย) ซึ่งเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์

·        อคติทางจิตวิทยาอื่นๆ: เช่น อคติแห่งการยืนยัน (Confirmation Bias) ที่ทำให้เรามองหาแต่ข้อมูลที่สนับสนุนการลงทุนตามกระแส หรือ อคติจากการขาดทุน (Loss Aversion) ที่ทำให้เรากลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไร

2. FOMO อันตรายกับการลงทุนอย่างไร?

FOMO เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดนักลงทุนมือใหม่และแม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์ให้ก้าวขาผิดพลาดได้ง่ายๆ ครับ ผลเสียที่พบบ่อยจากการลงทุนด้วย FOMO คือ:

·        ซื้อของแพง (Buying High): เมื่อราคาของสินทรัพย์พุ่งขึ้นไปสูงมากแล้วจากกระแส FOMO คนที่เข้ามาซื้อตอนหลังมักจะซื้อในราคาที่สูงเกินจริง ซึ่งเป็นจุดที่ราคาใกล้จะถึงจุดสูงสุด และมีโอกาสขาดทุนสูงหากราคาปรับตัวลงมา

·        ขาดทุนหนัก (Selling Low): เมื่อราคาเริ่มปรับตัวลง คนที่เข้าซื้อด้วย FOMO มักจะไม่มีเหตุผลรองรับการลงทุนที่แข็งแกร่ง ทำให้เมื่อเห็นราคาตกก็ตื่นตระหนกและรีบขายออกไป เพื่อ "หนีตาย" ซึ่งมักจะกลายเป็นการขายที่จุดต่ำสุด

·        ไม่ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ: เมื่อถูกครอบงำด้วย FOMO เราจะรีบตัดสินใจลงทุนโดยไม่ใช้เวลาศึกษาข้อมูลพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ หรือไม่ทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้

·        ละเลยหลักการลงทุนของตัวเอง: บางครั้งเรามีหลักการลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้ว เช่น เน้นคุณค่า หรือเน้นระยะยาว แต่เมื่อเจอ FOMO เราก็พร้อมที่จะทิ้งหลักการเหล่านั้นไป เพื่อวิ่งตามกระแส

·        เสียโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่า: การทุ่มเงินไปกับการลงทุนที่เกิดจาก FOMO อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีกว่า มีพื้นฐานแข็งแกร่งกว่า และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว

3. สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังถูก FOMO ครอบงำ

ก่อนที่จะรับมือได้ เราต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังเผชิญกับมันอยู่หรือไม่ ลองสังเกตตัวเองดูนะครับว่ามีอาการเหล่านี้บ้างไหม:

·        รู้สึกกระวนกระวายใจหรือเสียดายอย่างรุนแรง เมื่อเห็นข่าวการลงทุนที่คนอื่นทำกำไร

·        พยายามหาเหตุผลเพื่อ "เข้าข้างตัวเอง" ให้กระโดดเข้าไปลงทุน ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่ามีความเสี่ยง

·        เริ่มใช้เงินที่ไม่ควรใช้ เช่น เงินเก็บสำรองฉุกเฉิน หรือเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน มาลงทุน

·        ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการติดตามข่าวสารการลงทุน หรือโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่กำลังเป็นกระแส

·        เปลี่ยนแผนการลงทุนบ่อยๆ เพื่อวิ่งตามกระแสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น

4. วิธีรับมือกับ FOMO ในการลงทุน

การเอาชนะ FOMO ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ แต่เป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว นี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยคุณได้ครับ:

4.1 สร้างแผนการลงทุนที่ชัดเจนและยึดมั่นกับมัน:

·        กำหนดเป้าหมายการลงทุน: คุณลงทุนเพื่ออะไร? ระยะสั้นหรือระยะยาว?

·        กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้: คุณพร้อมที่จะเสียเงินได้มากแค่ไหน?

·        เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณเข้าใจ: อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่รู้จัก

·        กำหนดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ที่เหมาะสม: กระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เมื่อคุณมีแผนที่ชัดเจน คุณจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณควรทำ และอะไรคือสิ่งที่อยู่นอกแผน ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่วอกแวกไปกับกระแสครับ

4.2 ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและทำความเข้าใจพื้นฐาน:

·        ก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ให้ใช้เวลาศึกษาข้อมูลพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ อย่างละเอียด: ศึกษาธุรกิจ, ผลประกอบการ, ทีมผู้บริหาร, แนวโน้มอุตสาหกรรม และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา อย่าเชื่อแค่คำบอกเล่าหรือข่าวลือ

·        เข้าใจความเสี่ยง: ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง จงทำความเข้าใจความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่คุณจะลงทุน และประเมินว่ามันคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับหรือไม่

·        อย่าลงทุนตามเพื่อนหรือข่าวลือ: เพื่อนของคุณอาจมีเป้าหมายการลงทุนที่ต่างกัน หรือมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่างจากคุณ

4.3 ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่ลดผลกระทบจากอารมณ์:

·        Dollar-Cost Averaging (DCA): การทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันเป็นงวดๆ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะราคาขึ้นหรือลง จะช่วยลดความจำเป็นในการจับจังหวะตลาด และช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลว่าพลาดโอกาสในช่วงที่ราคาต่ำสุด

·        ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): การกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้คุณจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้คุณไม่ต้องตัดสินใจด้วยอารมณ์ในขณะที่ตลาดผันผวน

4.4 จำกัดการรับรู้ข่าวสารและโซเชียลมีเดีย:

·        เลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: ติดตามข่าวสารการลงทุนจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและเป็นกลางเท่านั้น หลีกเลี่ยงกลุ่มสนทนาที่เน้นการปั่นกระแส

·        จำกัดเวลา: กำหนดเวลาในการติดตามข่าวสารการลงทุนในแต่ละวัน ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ 24 ชั่วโมง เพราะข้อมูลที่มากเกินไปอาจทำให้คุณตัดสินใจด้วยอารมณ์ได้ง่ายขึ้น

·        พักจากโซเชียลมีเดีย: หากคุณรู้สึกว่าโซเชียลมีเดียทำให้คุณเกิด FOMO บ่อยๆ ลองหยุดพักจากการติดตาม หรือซ่อนโพสต์ที่เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนที่ไม่จำเป็น

4.5 โฟกัสที่เป้าหมายระยะยาวของคุณ:

·        ย้อนกลับไปดูเป้าหมายทางการเงินของคุณ: ในช่วงเวลาที่ FOMO เข้าครอบงำ ให้กลับไปทบทวนเป้าหมายทางการเงินระยะยาวของคุณ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณไม่วอกแวกไปกับการลงทุนระยะสั้นที่เสี่ยงเกินไป

·        เปรียบเทียบความเสี่ยงและผลตอบแทนกับเป้าหมาย: ถามตัวเองว่า "การลงทุนตามกระแสนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ฉันยอมรับได้หรือไม่?"

บทสรุป: วินัยและความรู้คือเกราะป้องกัน FOMO

FOMO เป็นอารมณ์ที่ทรงพลัง และมันสามารถทำลายแผนการลงทุนที่ดีที่สุดได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันได้ครับ

หัวใจสำคัญคือ การมีวินัย ในการยึดมั่นกับแผนการลงทุนที่ชัดเจน และ การมีความรู้ ที่เพียงพอที่จะตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์

จำไว้ว่า การลงทุนคือการเดินทางระยะยาว ไม่ใช่การวิ่งแข่งเพื่อใครจะถึงเส้นชัยก่อนกัน การพลาด "โอกาส" ที่ดูเหมือนจะดีในวันนี้ อาจจะเป็นการหลีกเลี่ยง "หายนะ" ในวันพรุ่งนี้ก็ได้ครับ

ขอให้ คุณผู้ชมทุกคนลงทุนอย่างมีสติ ปราศจาก FOMO และสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนนะครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม