วงเงินสินเชื่อ: ทำไมบางคนได้เยอะ บางคนได้น้อย?
เวลาที่เราไปยื่นขอสินเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล, สินเชื่อบ้าน, หรือสินเชื่อรถยนต์
สิ่งหนึ่งที่เราต้องรอลุ้นคือ "วงเงินสินเชื่อ" ที่สถาบันการเงินจะอนุมัติให้ครับ บางคนอาจได้วงเงินสูงจนตกใจ
ขณะที่บางคนกลับได้วงเงินน้อยกว่าที่คาด หรือบางทีก็ไม่ได้รับการอนุมัติเลย
คำถามคือ "ทำไมบางคนถึงได้เยอะ บางคนถึงได้น้อย?"
อะไรคือปัจจัยที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาวงเงินสินเชื่อครับ?
วันนี้เราจะมาเปิดเผยปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้ในการประเมินและกำหนด
"วงเงินสินเชื่อ" ให้กับผู้กู้
เพื่อให้ และคุณผู้ชมทุกคนเข้าใจหลักเกณฑ์เหล่านี้ และเตรียมตัวให้พร้อม
เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณครับ
วงเงินสินเชื่อคืออะไร?
วงเงินสินเชื่อ (Credit Limit / Loan Amount) คือ "จำนวนเงินสูงสุดที่สถาบันการเงิน (ธนาคาร,
ไฟแนนซ์) อนุมัติให้คุณสามารถใช้ได้ หรือกู้ได้" ในกรณีของบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด
วงเงินสินเชื่อคือจำนวนเงินสูงสุดที่คุณสามารถรูดหรือกดเงินออกมาได้
ส่วนในกรณีของสินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อรถยนต์
วงเงินสินเชื่อคือจำนวนเงินต้นที่คุณจะได้รับอนุมัติให้กู้
5 ปัจจัยหลักที่ธนาคารใช้พิจารณาวงเงินสินเชื่อ
การพิจารณาวงเงินสินเชื่อของธนาคารนั้น
จะอิงกับหลักการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และความเสี่ยงของผู้กู้เป็นหลัก
โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้ครับ
1. รายได้และความมั่นคงของอาชีพ (Income and Employment
Stability)
นี่คือปัจจัยอันดับแรกที่สำคัญที่สุดครับ
ธนาคารต้องการเห็นว่าคุณมีรายได้ที่สม่ำเสมอและเพียงพอต่อการชำระหนี้
·
ระดับรายได้: ยิ่งรายได้สูง โอกาสที่จะได้รับวงเงินสูงก็ยิ่งมากขึ้น
เพราะแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้
·
ประเภทอาชีพ: อาชีพที่มีความมั่นคง (เช่น พนักงานประจำ, ข้าราชการ)
มักจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าอาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน (เช่น อาชีพอิสระ,
ฟรีแลนซ์)
·
อายุงาน/ระยะเวลาในการประกอบธุรกิจ: ยิ่งคุณทำงานในปัจจุบันมานาน หรือประกอบธุรกิจมานานเท่าไหร่
ก็ยิ่งแสดงถึงความมั่นคงในรายได้
·
แหล่งที่มาของรายได้: รายได้ที่มาจากเงินเดือนประจำ จะถูกพิจารณาง่ายกว่ารายได้จากแหล่งอื่นๆ
เคล็ดลับ: หากคุณเป็นฟรีแลนซ์
ควรมีการเดินบัญชีที่สม่ำเสมอ และสามารถแสดงหลักฐานรายได้ที่ชัดเจน เช่น ใบหักภาษี
ณ ที่จ่าย, รายการเดินบัญชีย้อนหลัง
2. ประวัติเครดิตบูโรและคะแนนเครดิต (Credit History and Credit
Score)
ปัจจัยนี้สะท้อนถึงวินัยทางการเงินและความน่าเชื่อถือของคุณในอดีต
·
ประวัติการชำระหนี้: หากคุณมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมาโดยตลอด (ชำระตรงเวลา, ไม่เคยค้างชำระ) แสดงว่าคุณมีวินัย และธนาคารก็จะให้ความเชื่อมั่นสูงขึ้น
·
คะแนนเครดิต: ยิ่งคะแนนเครดิตของคุณสูงเท่าไหร่ (เช่น 700-800+) โอกาสที่จะได้รับวงเงินสูงและดอกเบี้ยที่ดีก็ยิ่งมากขึ้น
·
สถานะหนี้ปัจจุบัน: หากคุณมีหนี้ค้างชำระ หรือมีหนี้เสียอยู่
โอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อใหม่ หรือได้วงเงินที่สูงก็จะลดลงอย่างมาก
เคล็ดลับ: หมั่นตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเองเป็นประจำ
และชำระหนี้ทุกประเภทให้ตรงเวลาเสมอ
3. ภาระหนี้สินในปัจจุบัน (Current Debt Burden / DSR)
ธนาคารจะพิจารณาว่าคุณมีภาระหนี้สินอื่นๆ อยู่มากน้อยแค่ไหน
เพื่อป้องกันไม่ให้คุณมีหนี้เกินตัว
·
อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt
Service Ratio - DSR): คือสัดส่วนของยอดผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดของคุณต่อเดือน
เทียบกับรายได้รวมต่อเดือนของคุณ ธนาคารแต่ละแห่งจะมีเกณฑ์ DSR สูงสุดที่รับได้ (เช่น ไม่เกิน 40-70% ของรายได้)
·
จำนวนบัตรเครดิต/สินเชื่อที่มี: การมีบัตรหลายใบ หรือสินเชื่อหลายก้อน อาจถูกมองว่าคุณมีความเสี่ยงในการบริหารจัดการหนี้
เคล็ดลับ: ก่อนยื่นขอสินเชื่อใหม่
ควรประเมิน DSR ของตัวเอง และพยายามลดภาระหนี้เดิมลงก่อน
4. ลักษณะและวัตถุประสงค์ของสินเชื่อ (Type and Purpose of Loan)
ประเภทของสินเชื่อที่คุณขอก็มีผลต่อวงเงินที่ได้รับ
·
สินเชื่อมีหลักประกัน vs.
ไม่มีหลักประกัน: สินเชื่อที่มีหลักประกัน
(เช่น สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อรถยนต์)
มักจะได้รับวงเงินที่สูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิต
(เพราะมีความเสี่ยงต่ำกว่า)
·
มูลค่าหลักประกัน: หากเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน
วงเงินที่ได้รับจะอ้างอิงกับมูลค่าการประเมินของหลักประกันด้วย (เช่น
วงเงินสินเชื่อบ้านสูงสุด 80-100% ของมูลค่าประเมิน)
·
วัตถุประสงค์การใช้เงิน: แม้จะไม่มีผลโดยตรงต่อวงเงิน
แต่ธนาคารก็อยากรู้ว่าคุณจะนำเงินไปใช้ทำอะไร หากเป็นเพื่อการลงทุนที่สร้างรายได้
หรือเพื่ออสังหาริมทรัพย์ ก็อาจจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ
เคล็ดลับ: เลือกประเภทสินเชื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
และเตรียมข้อมูลวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
5. นโยบายของสถาบันการเงิน (Bank's Policy)
แต่ละสถาบันการเงินมีนโยบายการพิจารณาสินเชื่อและเกณฑ์การอนุมัติวงเงินที่แตกต่างกันไป
·
กลุ่มเป้าหมาย: ธนาคารบางแห่งอาจเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง หรือมีอาชีพเฉพาะ
·
โปรโมชั่น/แคมเปญ: บางช่วงเวลา ธนาคารอาจมีโปรโมชั่นที่เสนอวงเงินสูงเป็นพิเศษ
เพื่อกระตุ้นยอด
·
ความสัมพันธ์กับธนาคาร: การเป็นลูกค้าที่ดี มีประวัติการทำธุรกรรมกับธนาคารนั้นๆ มานาน
อาจได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
เคล็ดลับ: หากไม่ได้รับการอนุมัติ
หรือได้วงเงินไม่พอใจจากธนาคารหนึ่ง ลองปรึกษาธนาคารอื่นดูครับ
บทสรุป: วงเงินสินเชื่อคือ "ความเชื่อมั่น"
ที่ธนาคารมีให้คุณ
วงเงินสินเชื่อ ที่คุณได้รับนั้น ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ "ความเชื่อมั่น" ที่สถาบันการเงินมีต่อความสามารถและความรับผิดชอบทางการเงินของคุณ
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวและปรับปรุงสถานะทางการเงินของตัวเองให้ดีขึ้น
เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงครับ!