ข้อควรรู้ก่อนซื้อประกัน: คำถามที่ต้องถามตัวแทน
การซื้อประกันภัยไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต,
ประกันสุขภาพ, ประกันรถยนต์, หรือประกันบ้าน ถือเป็นการตัดสินใจทางการเงินที่สำคัญครับ
เพราะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งในการจ่ายเบี้ยประกัน
และความคุ้มครองที่ได้รับก็ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของเราโดยตรง
เพื่อให้คุณผู้ชมทุกคนได้รับประกันภัยที่คุ้มค่าและตรงกับความต้องการมากที่สุด
การเตรียมตัวและรู้ "ข้อควรรู้ก่อนซื้อประกัน:
คำถามที่ต้องถามตัวแทน" จึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
เพราะตัวแทนประกันที่ดีจะสามารถให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตอบข้อสงสัยของคุณได้อย่างชัดเจนครับ
ทำไมต้องถามคำถามตัวแทนประกันให้ละเอียด?
1.
เพื่อให้ได้ประกันที่
"ตรงกับความต้องการ" จริงๆ: บางครั้งตัวแทนอาจเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่เขาได้ค่าคอมมิชชั่นสูง
แต่ไม่จำเป็นสำหรับคุณ
2.
เพื่อให้เข้าใจ
"เงื่อนไขและความคุ้มครอง" อย่างถ่องแท้: กรมธรรม์ประกันภัยมีรายละเอียดที่ซับซ้อน
การได้ข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณไม่พลาดสิทธิ์หรือเจอข้อยกเว้นที่ไม่คาดคิด
3.
เพื่อเปรียบเทียบ
"ความคุ้มค่า" ระหว่างแผนต่างๆ: การถามคำถามที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายบริษัทได้
4.
เพื่อสร้าง "ความเชื่อมั่น"
ในตัวตัวแทน: ตัวแทนที่ดีจะตอบคำถามของคุณอย่างตรงไปตรงมา
และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
10 คำถามสำคัญที่ต้องถามตัวแทนประกัน (ก่อนตัดสินใจซื้อ)
คำถามเกี่ยวกับ "ความต้องการ" ของคุณ
1.
"ประกันแบบนี้ตอบโจทย์
[ระบุความต้องการของคุณ] ได้อย่างไรบ้าง?"
o
ตัวอย่าง: "ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายนี้
จะช่วยตอบโจทย์เรื่องค่ารักษาพยาบาลโรคเรื้อรังของผมได้แค่ไหนครับ?" หรือ "ประกันชีวิตแบบนี้จะช่วยคุ้มครองครอบครัวผมได้ยังไง
ถ้าผมเป็นเสาหลักของบ้าน?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อให้ตัวแทนนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาหรือความต้องการที่คุณกำลังมองหา
ไม่ใช่แค่ขายของ
คำถามเกี่ยวกับ "ความคุ้มครองและข้อยกเว้น"
2.
"ความคุ้มครองหลักและรองของแผนนี้มีอะไรบ้าง
วงเงินเท่าไหร่ครับ?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อให้รู้ว่าอะไรคุ้มครองบ้าง และคุ้มครองในวงเงินเท่าไหร่
เพียงพอต่อความต้องการของคุณหรือไม่
3.
"มีข้อยกเว้นความคุ้มครองอะไรบ้าง
ที่ผมต้องรู้?"
o
ทำไมต้องถาม: นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด!
เพราะข้อยกเว้นคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่สามารถเคลมประกันได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น
เช่น ประกันสุขภาพไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนทำประกัน, ประกันอุบัติเหตุไม่คุ้มครองกีฬาเสี่ยงภัย
4.
"มีระยะเวลารอคอย (Waiting
Period) สำหรับความคุ้มครองส่วนไหนบ้าง?"
o
ทำไมต้องถาม: ระยะเวลารอคอยคือช่วงเวลาที่คุณจ่ายเบี้ยประกันไปแล้ว
แต่ยังไม่สามารถเคลมได้ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นในช่วงนั้น (เช่น ประกันสุขภาพมีระยะรอคอย
30-120 วันสำหรับบางโรค)
คำถามเกี่ยวกับ "เบี้ยประกัน" และ "การชำระ"
5.
"เบี้ยประกันภัยต่อปีเท่าไหร่
และจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อประเมินภาระค่าใช้จ่าย และวางแผนการเงินระยะยาว
เพราะบางประกันเบี้ยอาจปรับขึ้นตามอายุ หรือบางประกันเบี้ยคงที่
6.
"สามารถชำระเบี้ยประกันแบบไหนได้บ้าง
(รายเดือน/รายปี) และมีส่วนลดพิเศษไหม?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อเลือกช่องทางการชำระที่สะดวก และสอบถามโปรโมชั่นหรือส่วนลดที่อาจมี
คำถามเกี่ยวกับ "การเคลมประกัน"
7.
"ขั้นตอนการเคลมประกันเป็นอย่างไร
และเอกสารที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อให้คุณรู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่อถึงเวลาเคลม และเตรียมเอกสารให้พร้อม
ลดความยุ่งยาก
8.
"มีเครือข่ายโรงพยาบาล/อู่ซ่อมรถ/คู่สัญญา
ให้บริการที่ไหนบ้าง?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อให้แน่ใจว่ามีโรงพยาบาล/อู่ ที่คุณสะดวกและต้องการใช้บริการอยู่ในเครือข่าย
คำถามทั่วไปและอื่นๆ
9.
"ถ้าผมต้องการยกเลิกกรมธรรม์
จะมีผลอย่างไรบ้าง?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อให้เข้าใจเงื่อนไขการยกเลิก, มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์
(ถ้ามี), และผลกระทบที่ตามมา
10.
"คุณมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยอย่างถูกต้องหรือไม่
และมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มานานแค่ไหนแล้ว?"
o
ทำไมต้องถาม: เพื่อความมั่นใจว่าคุณกำลังติดต่อกับตัวแทนที่ได้รับอนุญาตและมีความเชี่ยวชาญจริง
บทสรุป: ถามให้ชัด ซื้อให้ชัวร์
การถามคำถามเหล่านี้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อประกัน
จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ประกันภัยมากขึ้น ได้รับความคุ้มครองที่ตรงใจ
และลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาในการเคลมประกันในอนาคตครับ
จำไว้ว่า "หน้าที่ของคุณคือการถาม
หน้าที่ของตัวแทนคือการตอบให้ชัดเจน" ครับ
อย่าเกรงใจที่จะถาม
เพราะเงินที่คุณจ่ายไปคือการลงทุนในความคุ้มครองและอนาคตของคุณครับ!