เบี้ยประกันแพงไปไหม? วิธีประหยัดเบี้ยประกัน
หนึ่งในความกังวลหลักๆ
ของการซื้อประกันคือเรื่องของ "เบี้ยประกัน" ครับ หลายคนอาจรู้สึกว่าเบี้ยประกันแพงเกินไป หรือไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ
ทำให้ลังเลที่จะซื้อหรือไม่ก็ซื้อแบบไม่เต็มวงเงินที่ควรจะเป็น
วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นที่ว่า "เบี้ยประกันแพงไปไหม?" และที่สำคัญกว่านั้นคือ
"วิธีประหยัดเบี้ยประกัน" โดยที่คุณยังคงได้รับความคุ้มครองที่จำเป็นอยู่ เพื่อให้ คุณผู้ชมทุกคนสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประกันภัยได้อย่างสบายใจครับ
"เบี้ยประกันแพงไปไหม?" ประเมินจากอะไร?
ก่อนจะบอกว่าแพงหรือไม่แพง ต้องประเมินจากหลายปัจจัยครับ:
1.
วงเงินความคุ้มครอง: ยิ่งวงเงินคุ้มครองสูง เบี้ยก็ยิ่งแพง
2.
ประเภทของความคุ้มครอง: ประกันบางประเภท เช่น ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย, ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ
จะมีเบี้ยที่สูงกว่าประกันอุบัติเหตุ หรือประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
3.
อายุของผู้เอาประกัน: โดยเฉพาะประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ยิ่งอายุมาก เบี้ยประกันยิ่งแพง
เพราะความเสี่ยงสูงขึ้น
4.
สุขภาพของผู้เอาประกัน: ผู้ที่มีประวัติการเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัว อาจต้องจ่ายเบี้ยสูงขึ้น
หรือถูกปฏิเสธการรับประกัน
5.
อาชีพ/ไลฟ์สไตล์: อาชีพที่มีความเสี่ยงสูง, การใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัย
(เช่น กีฬาผาดโผน) ทำให้เบี้ยประกันอุบัติเหตุสูงขึ้น
6.
ประวัติการเคลม
(สำหรับประกันรถยนต์/สุขภาพ): ผู้ที่เคลมบ่อย
อาจถูกปรับเบี้ยให้สูงขึ้นในปีถัดไป
ดังนั้น การจะบอกว่า "แพงไปไหม"
จึงต้องพิจารณาจากภาพรวมของความคุ้มครองและปัจจัยส่วนบุคคลของคุณครับ
10 วิธีประหยัดเบี้ยประกัน (โดยยังได้รับความคุ้มครองที่จำเป็น)
เรามาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้คุณประหยัดเบี้ยประกันได้ครับ
1. เริ่มทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อยและสุขภาพดี
·
ประหยัดสุดๆ สำหรับ: ประกันชีวิต และประกันสุขภาพ
·
เหตุผล: ยิ่งอายุน้อย สุขภาพดี
ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือเสียชีวิตก็ยิ่งต่ำ บริษัทประกันจึงคิดเบี้ยในราคาถูกกว่ามาก
และมีโอกาสถูกปฏิเสธน้อยกว่าการทำเมื่ออายุมากหรือมีโรคประจำตัว
2. เลือกแผนประกันที่ "จำเป็น" และ "พอดี"
กับความต้องการ
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันทุกประเภท
·
วิธี:
o
ไม่ซื้อความคุ้มครองที่ไม่จำเป็น: เช่น ถ้าคุณไม่เคยไปหาหมอเลย หรือมีสวัสดิการ OPD อยู่แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันสุขภาพที่มี OPD ที่เบี้ยแพงขึ้นมา
o
เลือกวงเงินที่เหมาะสม: ไม่จำเป็นต้องซื้อวงเงินสูงสุดเสมอไป ให้ประเมินจากความต้องการจริง (เช่น
ค่าห้องโรงพยาบาลที่คุณตั้งใจจะใช้บริการ)
o
สำหรับประกันรถยนต์: ถ้าเป็นรถเก่า อาจลดจากประเภท 1 ไปเป็นประเภท 2+,
3+ ที่เบี้ยถูกลง
3. เลือกแผนประกันที่มี "ค่าเสียหายส่วนแรก" (Deductible/Excess)
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันสุขภาพ, ประกันรถยนต์, ประกันบ้าน
·
วิธี: การเลือกแผนที่มีค่าเสียหายส่วนแรก
(คือเงินที่คุณต้องจ่ายเองก่อน เมื่อเกิดการเคลม) จะช่วยให้เบี้ยประกันถูกลงครับ
o
ตัวอย่าง: หากเลือกประกันสุขภาพที่มีค่าเสียหายส่วนแรก 20,000 บาท หมายความว่าทุกการเคลม คุณต้องจ่าย 20,000 บาทแรกเอง
ส่วนที่เกินมาบริษัทประกันจะจ่ายให้ แลกกับการที่เบี้ยประกันต่อปีจะลดลงหลายพันบาท
·
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มั่นใจว่าสามารถรับภาระค่าเสียหายส่วนแรกได้เอง
และต้องการประหยัดเบี้ย
4. เปรียบเทียบแผนประกันจาก "หลายบริษัท"
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันทุกประเภท
·
วิธี: อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อจากบริษัทแรกที่เสนอมา
ลองเปรียบเทียบความคุ้มครองและเบี้ยประกันจากอย่างน้อย 3-5 บริษัท
เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
5. ใช้สิทธิ "ลดหย่อนภาษี" ให้เต็มที่
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, ประกันบำนาญ
·
วิธี: เบี้ยประกันเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ทำให้คุณประหยัดภาษีได้อีกต่อหนึ่ง (ลดหย่อนได้สูงสุดรวม 100,000 บาท สำหรับประกันชีวิตและสุขภาพ, 200,000 บาท
สำหรับประกันบำนาญ)
6. พิจารณา "ซื้อแบบพ่วง" หรือ "เบี้ยประกันรายปี"
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันส่วนใหญ่
·
วิธี:
o
ซื้อแบบพ่วง: บางครั้งการซื้อประกันชีวิตควบคู่กับประกันสุขภาพ (แบบแนบท้าย)
อาจได้เบี้ยที่คุ้มค่ากว่าการซื้อแยกกัน
o
ชำระเบี้ยรายปี: โดยทั่วไปการชำระเบี้ยประกันแบบรายปีจะถูกกว่าการชำระรายเดือน
(เพราะบริษัทไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องการขาดส่ง)
7. สำหรับประกันรถยนต์: ขับขี่ดี ไม่มีเคลม
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันภัยรถยนต์
·
วิธี: การขับขี่อย่างระมัดระวัง
ไม่เกิดอุบัติเหตุ จะทำให้คุณได้รับ ส่วนลดประวัติดี ในปีถัดไป
ซึ่งเป็นส่วนลดที่สูงมาก (สูงสุดถึง 50%)
8. สำหรับประกันรถยนต์: ติดตั้งกล้องติดรถยนต์
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันภัยรถยนต์
·
วิธี: หลายบริษัทประกันให้ส่วนลดเบี้ยประกันสำหรับรถที่มีการติดตั้ง
กล้องติดรถยนต์ เพราะช่วยเป็นหลักฐานในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
9. ปรับแผนความคุ้มครองเมื่อ "ภาระ" หรือ
"ความเสี่ยง" เปลี่ยนไป
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ
·
วิธี:
o
ประกันชีวิต: หากหนี้สินหมดไปแล้ว หรือลูกโตและสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว
อาจพิจารณาลดวงเงินคุ้มครองลง หรือเปลี่ยนเป็นแบบที่เน้นการออม
o
ประกันสุขภาพ: หากย้ายจากเมืองใหญ่ไปอยู่ต่างจังหวัดที่ค่าครองชีพ/ค่ารักษาพยาบาลถูกลง
อาจพิจารณาลดวงเงินค่าห้องลง
10. ปรึกษาตัวแทนประกันภัยที่ "เป็นกลาง" และ
"มีประสบการณ์"
·
ประหยัดสำหรับ: ประกันทุกประเภท
·
วิธี: ตัวแทนที่ดีจะช่วยคุณวิเคราะห์ความต้องการ,
เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์, และแนะนำวิธีประหยัดเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับคุณได้ครับ
บทสรุป: จ่ายเบี้ยอย่างฉลาด ได้ความคุ้มครองเต็มที่
การที่รู้สึกว่า "เบี้ยประกันแพงไปไหม?"
เป็นเรื่องปกติครับ แต่สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าเบี้ยประกันนั้นคิดจากอะไร
และมีวิธีใดบ้างที่คุณจะสามารถ "ประหยัดเบี้ยประกัน" ได้โดยที่ยังคงได้รับความคุ้มครองที่จำเป็นต่อชีวิตครับ
การวางแผนอย่างรอบคอบ ใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เต็มที่
และเลือกซื้อประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ
จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า และใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจไร้กังวลครับ!