ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีธุรกิจออนไลน์
ในฐานะที่คุณเป็นผู้ประกอบการด้านการตลาดออนไลน์,
ขายภาพ Stockphoto, และทำ Amazon KDP/Merch
ซึ่งล้วนเป็นการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ครับ ยุคนี้ใครๆ
ก็หันมาค้าขายหรือสร้างรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น
แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ "เรื่องภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์" ครับ
การทำธุรกิจออนไลน์ก็เหมือนกับการทำธุรกิจทั่วไป
ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย หากไม่ทำความเข้าใจและจัดการให้ถูกต้อง
อาจจะเจอปัญหาการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังและค่าปรับมหาศาลได้ครับ
วันนี้เราจะมาสรุป "ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีธุรกิจออนไลน์" ให้ คุณผู้อ่านทุกคนที่กำลังทำธุรกิจออนไลน์
หรือมีแผนจะทำ ได้เข้าใจถึงหลักการวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างสบายใจ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนครับ
ธุรกิจออนไลน์เข้าข่ายเงินได้ประเภทไหน?
โดยส่วนใหญ่ รายได้จากธุรกิจออนไลน์จะเข้าข่าย "เงินได้พึงประเมินมาตรา 40(8)" ครับ
ซึ่งเป็นเงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ หรืออื่นๆ ที่ไม่เข้าพวก 1-7
ตัวอย่างรายได้ 40(8) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์:
·
รายได้จากการขายสินค้า/บริการออนไลน์
(E-commerce)
·
รายได้จากการขายภาพ Stockphoto,
กราฟิก, หรือไฟล์ดิจิทัลต่างๆ
·
รายได้จาก YouTube (ค่าโฆษณา, ค่าสมาชิก)
·
รายได้จากการเขียน/ขาย E-book
(Amazon KDP, MEB, Ookbee ฯลฯ)
·
รายได้จากการทำ POD (Print
on Demand) เช่น Amazon Merch
·
รายได้จากการรับทำเว็บไซต์,
SEO, การตลาดออนไลน์
·
ค่าโฆษณาจากเว็บไซต์/บล็อก
·
ค่าคอมมิชชั่นจากการเป็น Affiliate
Marketer
ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีธุรกิจออนไลน์ (หลักการสำคัญ)
1. มีรายได้ต้องยื่นภาษี (แม้จะขายของเล็กๆ น้อยๆ)
·
หลักการ: ไม่ว่าจะขายของออนไลน์มากน้อยแค่ไหน
ก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีครับ
·
เกณฑ์:
หากมีรายได้จากการทำธุรกิจออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี
(สำหรับคนโสด) หรือ 120,000 บาทต่อปี (สำหรับคนมีคู่สมรส) มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ภ.ง.ด.90 ในตอนต้นปีถัดไป
แม้ว่าเงินได้สุทธิจะยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (150,000 บาทแรกได้รับการยกเว้น)
2. เลือกวิธีการหัก "ค่าใช้จ่าย" ที่เหมาะสม
สำหรับเงินได้ 40(8) คุณสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้
2 แบบ:
·
หักแบบเหมา 60%: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีค่าใช้จ่ายจริงไม่สูงมาก
หรือผู้ที่ไม่สะดวกเก็บเอกสาร
·
หักตามจริง: ต้องเก็บเอกสารหลักฐานค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
(เช่น ต้นทุนสินค้า, ค่าการตลาด/โฆษณา, ค่าขนส่ง, ค่าจ้างผู้ช่วย, ค่าบริการแพลตฟอร์ม,
ค่าโปรแกรม, ค่าอินเทอร์เน็ต)
เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายจริงสูงกว่า 60% ของรายได้
เคล็ดลับ: ควรลองคำนวณดูว่าค่าใช้จ่ายจริงที่คุณมี
(เช่น ค่าโปรแกรมแต่งภาพ, ค่าสมัครสมาชิกแพลตฟอร์ม, ค่าโปรโมท) สูงกว่า 60% หรือไม่ หากสูงกว่า
การหักตามจริงจะช่วยให้เสียภาษีน้อยลงครับ
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ถ้ามี)
·
บางกรณี หากคุณรับงานจากบริษัทใหญ่ๆ
ที่เป็นนิติบุคคล หรือรับงานบริการบางประเภท เช่น ค่าจ้างทำเว็บไซต์, ค่าโฆษณา, ค่าที่ปรึกษา คุณอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
(ค่าบริการ) หรือ 2% (ค่าโฆษณา)
·
สำคัญ:
เก็บใบ ภ.ง.ด.3/53 ที่คุณถูกหักภาษีไว้ให้ดี
เพื่อนำมาเครดิตภาษีตอนยื่นภาษีประจำปีครับ
4. การจัดการ "บัญชีเงินฝาก"
·
แยกบัญชี: แนะนำให้ใช้บัญชีธนาคารสำหรับทำธุรกิจออนไลน์แยกต่างหากจากบัญชีส่วนตัว
เพื่อให้ง่ายต่อการบันทึกรายรับ-รายจ่าย และการตรวจสอบของสรรพากรในอนาคต
·
การเดินบัญชี: การมีเงินเข้า-ออกบัญชีจำนวนมากหรือบ่อยครั้ง
อาจทำให้สรรพากรสงสัยและเรียกตรวจสอบได้
ดังนั้นการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอจึงสำคัญมาก
5. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับธุรกิจออนไลน์
นี่คือจุดที่หลายคนพลาดและเป็นเรื่องใหญ่ครับ
·
เกณฑ์:
หากธุรกิจออนไลน์ของคุณมี "รายรับรวมทั้งปี" เกิน 1.8 ล้านบาท คุณมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) ภายใน 30 วันนับจากวันที่รายรับเกินเกณฑ์
·
อัตรา VAT: 7% ของมูลค่าสินค้า/บริการที่ขาย
·
หน้าที่หลังจากจด VAT:
o
ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า
o
ต้องเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า 7%
o
ต้องนำส่งภาษีขายให้สรรพากรทุกเดือน
(โดยหักภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออกได้)
·
ไม่จด VAT หากเข้าเกณฑ์: หากรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทแล้วไม่จดทะเบียน VAT
จะมีโทษปรับและถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม
เคล็ดลับ: หากรายได้ของคุณเริ่มใกล้
1.8 ล้านบาท ควรเริ่มวางแผนและศึกษาเรื่อง VAT อย่างจริงจัง หรือปรึกษานักบัญชี
6. การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
·
ใครต้องจด: ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ ที่มีหน้าร้านบนเว็บไซต์, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง หรือมีกิจกรรมทางธุรกิจเป็นประจำ
·
ประโยชน์: ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
และให้ข้อมูลแก่หน่วยงานภาครัฐเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมธุรกิจ
·
ข้อควรจำ: การจดทะเบียนพาณิชย์ฯ เป็นคนละเรื่องกับการเสียภาษี
หากจดทะเบียนแล้วก็ยังคงต้องเสียภาษีตามปกติ
บทสรุป: ธุรกิจออนไลน์ เติบโตได้ ต้องไปพร้อมภาษี
การทำ "ธุรกิจออนไลน์" เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่ไร้ขีดจำกัด แต่การจัดการเรื่อง "ภาษี" อย่างถูกต้องและรอบคอบคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน