การวางแผนภาษีสำหรับผู้มีรายได้หลายทาง
ในฐานะที่คุณเป็นคนทำงานที่ "มีรายได้หลายทาง" ทั้งจากงานการตลาดออนไลน์,
ขายภาพ Stockphoto, ทำคลิป YouTube, เขียน E-book, และงานออกแบบ POD ซึ่งเป็นการผสมผสานทั้งเงินได้ประจำ (ถ้ามี)
และเงินได้จากอาชีพอิสระหลายรูปแบบ
การจัดการเรื่องภาษีของคุณจึงมีความซับซ้อนกว่าคนที่มีรายได้ทางเดียวครับ
แต่ในความซับซ้อนนี้ ก็คือ "โอกาส" ในการวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาด เพื่อประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้นครับ
วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่อง "การวางแผนภาษีสำหรับผู้มีรายได้หลายทาง" โดยเฉพาะ เพื่อให้ คุณผู้ชมทุกคนที่มีรายได้หลากหลายช่องทาง
สามารถจัดการภาษีได้อย่างเป็นระบบ ลดภาระภาษี
และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของตัวเองครับ
ทำไมผู้มีรายได้หลายทางต้อง "วางแผนภาษี" เป็นพิเศษ?
·
ความซับซ้อนของประเภทเงินได้: คุณมีทั้ง 40(2), 40(8) และอาจมี 40(1) ถ้าเป็นพนักงานประจำด้วย ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
·
ภาษีหัก ณ
ที่จ่ายที่ไม่สม่ำเสมอ: บางรายได้ถูกหัก ณ ที่จ่าย
บางรายได้ไม่ถูกหัก ทำให้ตอนสิ้นปีอาจต้องเสียภาษีเป็นเงินก้อนใหญ่
·
โอกาสในการลดหย่อนภาษี: การมีรายได้สูงขึ้น ทำให้คุณมีโอกาสใช้ค่าลดหย่อนได้มากขึ้น
เพื่อลดภาระภาษี
5 ขั้นตอนการวางแผนภาษีสำหรับผู้มีรายได้หลายทาง
เพื่อให้การวางแผนภาษีของ
มีประสิทธิภาพสูงสุด ลองทำตาม 5 ขั้นตอนเหล่านี้ครับ
ขั้นตอนที่ 1: "รวบรวมและจำแนก"
รายได้ทั้งหมด (และภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
นี่คือหัวใจสำคัญของการวางแผนภาษีสำหรับผู้มีรายได้หลายทางครับ
·
บันทึกรายได้ทุกบาททุกสตางค์: ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ได้จากงานประจำ,
ฟรีแลนซ์, ขายของออนไลน์, โฆษณา YouTube, ค่าลิขสิทธิ์ภาพถ่าย, การเขียน E-book ฯลฯ
·
จำแนกประเภทเงินได้ (มาตรา 40(1)
- 40(8)): แยกให้ชัดเจนว่ารายได้แต่ละส่วนเข้าข่ายเงินได้ประเภทใด
(40(1) เงินเดือน, 40(2) ค่านายหน้า/บริการ,
40(8) ธุรกิจ/การค้า)
·
เก็บหลักฐานการหักภาษี ณ
ที่จ่าย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับใบ ภ.ง.ด.9 ทวิ หรือ ภ.ง.ด.3/53 จากทุกผู้ว่าจ้าง/ลูกค้า
(สิ่งนี้สำคัญมาก!)
เครื่องมือช่วย: Excel, Google Sheets, หรือแอปพลิเคชันทำบัญชีส่วนตัว จะช่วยให้คุณจัดการข้อมูลได้เป็นระบบ
ขั้นตอนที่ 2: "เลือกวิธีหักค่าใช้จ่าย"
ที่คุ้มค่าที่สุด
สำหรับเงินได้ 40(2) และ 40(8) คุณสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ: หักเหมา
หรือ หักตามจริง
·
หักเหมา: ง่าย ไม่ต้องเก็บเอกสาร
o
40(1) เงินเดือน: เหมา 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
o
40(2) บริการ/ค่านายหน้า: เหมา 50%
ไม่เกิน 100,000 บาท
o
40(8) ธุรกิจ/การค้า: เหมา 60%
·
หักตามจริง: ต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ใบเสร็จค่าการตลาด, ค่าอุปกรณ์, ค่าจ้างผู้ช่วย, ค่าเดินทาง
(ที่เกี่ยวข้องกับงาน), ค่าเช่าพื้นที่, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าไฟ (สัดส่วนที่ใช้ในธุรกิจ)
o
เมื่อไหร่ควรหักตามจริง?:
หากคุณมีค่าใช้จ่ายจริงที่สูงกว่าสัดส่วนการหักเหมา (เช่น 40(8)
ค่าใช้จ่ายจริงเกิน 60%) การหักตามจริงจะคุ้มค่ากว่า
เคล็ดลับ: ที่มีรายได้ 40(8) จากการขายภาพ,
YouTube, E-book อาจมีค่าใช้จ่ายจริงที่สูง (เช่น ค่าโปรแกรม,
ค่าอุปกรณ์, ค่าโฆษณา)
การเก็บหลักฐานเพื่อหักตามจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา
ขั้นตอนที่ 3: "ประเมินและวางแผน"
การใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี
เมื่อรู้รายได้และค่าใช้จ่ายแล้ว ให้มาพิจารณาค่าลดหย่อน
(ดูบทความที่ 62)
·
ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
(ขั้นพื้นฐาน): คุณจะได้สิทธิ์เหล่านี้อยู่แล้ว
·
ค่าลดหย่อนกลุ่มประกันและลงทุน
(ตัวช่วยประหยัดภาษี):
o
RMF/SSF: หากคุณมีรายได้สูงขึ้น
และยังไม่ได้ลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี
นี่คือโอกาสทองในการประหยัดภาษีพร้อมสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ( ควรพิจารณาข้อนี้เป็นพิเศษ)
o
ประกันชีวิต/สุขภาพ: หากยังไม่มี
นี่คือโอกาสในการได้ลดหย่อนและสร้างความคุ้มครองชีวิตไปพร้อมกัน
·
คำนวณ "เงินได้สุทธิ"
ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น: (รายได้รวม - ค่าใช้จ่ายที่เลือก -
ค่าลดหย่อนที่คาดว่าจะใช้) เพื่อดูว่าคุณจะตกอยู่ในขั้นภาษีเท่าไหร่
และยังสามารถลดหย่อนเพิ่มได้อีกเท่าไหร่
เคล็ดลับ: อย่าซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว
แต่ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและเป้าหมายทางการเงินของคุณด้วย
ขั้นตอนที่ 4: "สำรองเงินภาษี"
และ "เตรียมพร้อมสำหรับการยื่น"
เนื่องจากรายได้ของคุณอาจไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด
คุณต้องเตรียมเงินสำหรับจ่ายภาษีปลายปี
·
แบ่งเงินสำรอง: ทุกครั้งที่ได้รับเงินจากงานฟรีแลนซ์ หรือรายได้ที่ยังไม่ถูกหัก ณ
ที่จ่าย ควรแบ่งเงินประมาณ 10-20% (หรือมากกว่านั้น
ขึ้นอยู่กับรายได้รวมและค่าลดหย่อนที่คุณมี) แยกเข้าบัญชีต่างหาก
เพื่อเป็นเงินสำหรับจ่ายภาษีตอนสิ้นปี
·
รวบรวมเอกสารล่วงหน้า: เริ่มเก็บเอกสารสำคัญต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับรายได้และค่าลดหย่อนตั้งแต่ต้นปี ไม่ต้องรอให้ถึงปลายปี
·
ยื่นภาษีออนไลน์: เตรียมตัวยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร (ภ.ง.ด.90) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว
ขั้นตอนที่ 5: "ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ"
(หากจำเป็น)
หากรายได้ของคุณมีความซับซ้อนมาก, มีกิจการที่เติบโตขึ้น,
หรือคุณไม่แน่ใจว่าจะวางแผนภาษีให้มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างไร
การปรึกษา "นักวางแผนการเงิน" หรือ "นักบัญชี" ที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษี จะช่วยคุณได้อย่างมากครับ
·
พวกเขาสามารถช่วยวิเคราะห์ประเภทเงินได้,
คำนวณค่าใช้จ่าย, วางแผนลดหย่อน, และแนะนำโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ (เช่น ควรจดทะเบียนเป็นบุคคลธรรมดา
หรือนิติบุคคล) ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณในระยะยาว
·
ช่วยลดความเสี่ยงในการคำนวณภาษีผิดพลาด
หรือโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
บทสรุป: วางแผนดี มีเงินเหลือ!
การมี "รายได้หลายทาง" คือข้อดีที่ทำให้คุณมีอิสระทางการเงินมากขึ้น
แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบในการจัดการภาษีที่มากขึ้นเช่นกันครับ