คะแนนเครดิต (Credit Score): คืออะไร? สร้างยังไงให้สูง? เพื่ออนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่ง

 

 

คะแนนเครดิต (Credit Score)

คะแนนเครดิต (Credit Score): คืออะไร? สร้างยังไงให้สูง?

นอกจาก "ประวัติเครดิตบูโร" ที่เราได้พูดถึงกันไปแล้ว อีกหนึ่งคำที่มักจะมาคู่กันและมีความสำคัญไม่แพ้กันเลยนั่นคือ "คะแนนเครดิต (Credit Score)" ครับ คะแนนเครดิตนี้เปรียบเสมือน "เกรดเฉลี่ย" ของพฤติกรรมการเงินของเรา ที่สถาบันการเงินใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงในการให้สินเชื่อกับเราครับ และการวางแผนหนี้สินครับ

การมีคะแนนเครดิตที่สูงจะช่วยให้ และคุณผู้ชมทุกคนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ได้วงเงินที่สูงขึ้น และได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจว่า "คะแนนเครดิตคืออะไร" และที่สำคัญคือ "จะสร้างและรักษาคะแนนเครดิตให้สูงอยู่เสมอได้อย่างไร" ครับ

คะแนนเครดิต (Credit Score) คืออะไร?

คะแนนเครดิต (Credit Score) คือ "ตัวเลขที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคล" ซึ่งประมวลผลมาจากข้อมูลประวัติการชำระหนี้ที่อยู่ในรายงานเครดิตบูโรของคุณครับ โดยทั่วไป คะแนนเครดิตจะอยู่ในช่วง 300 - 850 (หรือบางโมเดลอาจแตกต่างกันไป)

·        คะแนนสูง (ยิ่งสูงยิ่งดี): บ่งบอกว่าคุณมีความน่าเชื่อถือทางการเงินสูง มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีเยี่ยม ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระต่ำ ทำให้มีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อสูง ได้วงเงินที่น่าพอใจ และอัตราดอกเบี้ยที่พิเศษ

·        คะแนนต่ำ (ยิ่งต่ำยิ่งเสี่ยง): บ่งบอกว่าคุณมีความน่าเชื่อถือทางการเงินต่ำ มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี เช่น ค้างชำระบ่อยครั้ง หรือมีหนี้เสีย ทำให้มีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อ หรือได้รับเงื่อนไขที่ไม่ดี (ดอกเบี้ยสูง, วงเงินน้อย)

ใครเป็นคนคำนวณคะแนนเครดิต? ในประเทศไทย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เป็นผู้ให้บริการข้อมูลเครดิต และมีการพัฒนา "National Credit Bureau Score" ซึ่งเป็นโมเดลการให้คะแนนเครดิตของประเทศ เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปใช้ประกอบการพิจารณา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนเครดิต (สร้างยังไงให้สูง?)

การที่คะแนนเครดิตของคุณจะสูงหรือต่ำนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการเงินของคุณครับ การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างและรักษาคะแนนเครดิตให้สูงอยู่เสมอได้ครับ

1. ประวัติการชำระหนี้ (Payment History) - สำคัญที่สุด! (คิดเป็นประมาณ 35% ของคะแนน)

นี่คือปัจจัยที่มีผลต่อคะแนนเครดิตของคุณมากที่สุดครับ

·        ชำระตรงเวลาเสมอ: การชำระหนี้ตามกำหนดเวลาเต็มจำนวนในทุกๆ เดือน คือหัวใจสำคัญของการมีคะแนนเครดิตสูง

·        หลีกเลี่ยงการค้างชำระ: การชำระล่าช้า (แม้เพียงไม่กี่วัน) หรือการค้างชำระ จะส่งผลลบอย่างรุนแรงต่อคะแนนเครดิตของคุณ และยิ่งค้างชำระนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คะแนนลดลงมากเท่านั้น

เคล็ดลับ: ตั้งค่าการชำระเงินอัตโนมัติ หรือตั้งแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้ลืมวันครบกำหนดชำระครับ

2. จำนวนหนี้คงค้าง (Amounts Owed) - คิดเป็นประมาณ 30% ของคะแนน

ไม่ได้หมายความว่ายิ่งไม่มีหนี้ยิ่งดีนะครับ แต่หมายถึงการบริหารจัดการหนี้ที่คุณมีอยู่ให้ดี

·        อัตราการใช้บัตรเครดิตต่อวงเงิน (Credit Utilization Ratio): คืออัตราส่วนของยอดหนี้บัตรเครดิตที่คุณใช้จริงเทียบกับวงเงินบัตรเครดิตที่คุณได้รับอนุมัติมา ตัวอย่างเช่น หากคุณมีวงเงินบัตรเครดิต 100,000 บาท และมียอดค้างชำระ 30,000 บาท อัตราการใช้บัตรเครตรของคุณคือ 30%

o   ยิ่งต่ำยิ่งดี: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรควบคุมอัตราการใช้บัตรเครดิตให้อยู่ในระดับ ไม่เกิน 30% ของวงเงินรวมที่คุณมี ยิ่งต่ำกว่านี้ยิ่งดี เช่น หากคุณมีวงเงินบัตรเครดิตรวม 100,000 บาท ไม่ควรใช้เกิน 30,000 บาท

·        จำนวนหนี้รวม: การมีหนี้รวมมากเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ ก็ส่งผลลบต่อคะแนนเครดิตเช่นกัน

เคล็ดลับ: ชำระหนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ใช้บัตรเครดิตจนเต็มวงเงินบ่อยๆ

3. ระยะเวลาของประวัติเครดิต (Length of Credit History) - คิดเป็นประมาณ 15% ของคะแนน

ยิ่งคุณมีประวัติการใช้สินเชื่อที่ยาวนานและดีมากเท่าไหร่ คะแนนเครดิตของคุณก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

·        เริ่มต้นสร้างประวัติแต่เนิ่นๆ: การเริ่มมีบัตรเครดิต หรือสินเชื่อประเภทอื่นตั้งแต่อายุยังน้อย และใช้มันอย่างรับผิดชอบ จะช่วยสร้างประวัติที่ยาวนาน

·        อย่าปิดบัญชีเก่าเร็วเกินไป: บัญชีสินเชื่อที่เปิดมานานและมีประวัติการชำระดี จะช่วยเพิ่มคะแนนเครดิตของคุณ การปิดบัญชีบัตรเครดิตเก่าๆ ทิ้งไป อาจทำให้อายุเฉลี่ยของประวัติเครดิตของคุณสั้นลง

เคล็ดลับ: หากมีบัตรเครดิตใบแรกที่เปิดมานานและไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี ควรเก็บไว้และใช้บ้างเพื่อรักษาประวัติที่ดี

4. การขอสินเชื่อใหม่ (New Credit) - คิดเป็นประมาณ 10% ของคะแนน

การยื่นขอสินเชื่อใหม่ๆ บ่อยครั้งในระยะเวลาอันสั้น อาจส่งผลลบต่อคะแนนเครดิตของคุณได้

·        ** Hard Inquiry:** ทุกครั้งที่คุณยื่นขอสินเชื่อใหม่ สถาบันการเงินจะทำการตรวจสอบข้อมูลเครดิตของคุณ ซึ่งเรียกว่า "Hard Inquiry" การมี Hard Inquiry มากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ (เช่น ภายใน 6 เดือน) อาจถูกมองว่าคุณกำลังมีความต้องการเงินสูง และมีความเสี่ยง

·        ประเภทของสินเชื่อใหม่: การมีสินเชื่อประเภทใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เคยมีมาก่อน (เช่น สินเชื่อบ้านเมื่อคุณยังไม่เคยมีหนี้บ้าน) อาจทำให้คะแนนเครดิตของคุณลดลงชั่วคราวในช่วงแรก

เคล็ดลับ: วางแผนการขอสินเชื่อให้ดี หลีกเลี่ยงการยื่นขอสินเชื่อหลายๆ ประเภทพร้อมกัน หรือภายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน หากไม่จำเป็น

5. ประเภทของสินเชื่อที่ใช้ (Credit Mix) - คิดเป็นประมาณ 10% ของคะแนน

การมีสินเชื่อหลายประเภท และสามารถบริหารจัดการได้ดี ก็เป็นผลดีต่อคะแนนเครดิตเช่นกัน

·        สินเชื่อแบบหมุนเวียน (Revolving Credit): เช่น บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด

·        สินเชื่อแบบผ่อนชำระ (Installment Credit): เช่น สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อส่วนบุคคล

·        ความหลากหลายที่ดี: การมีทั้งสินเชื่อแบบหมุนเวียนและสินเชื่อแบบผ่อนชำระ และสามารถชำระได้ดีทั้งสองประเภท แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ที่หลากหลาย

เคล็ดลับ: ไม่จำเป็นต้องมีสินเชื่อทุกประเภท แต่หากมีและจัดการได้ดี ก็เป็นผลดี

บทสรุป: สร้างคะแนนเครดิตให้สูง เพื่ออนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่ง

  คะแนนเครดิต (Credit Score) คือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการวางแผนทางการเงิน เพราะมันเป็นประตูสู่โอกาสทางการเงินมากมาย

การที่คุณจะสร้างและรักษาคะแนนเครดิตให้สูงได้นั้น หัวใจหลักคือ "การมีวินัยในการชำระหนี้ตรงเวลา" และ "การใช้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ"

เริ่มต้นดูแลคะแนนเครดิตของคุณตั้งแต่วันนี้ ด้วยการปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ผมเชื่อว่า และคุณผู้ชมทุกคนจะสามารถ สร้างคะแนนเครดิตที่สูง และมีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอนครับ

    Choose :
  • OR
  • To comment

eBook ยอดนิยม